คำตัดสินเกี่ยวกับคดีลิขสิทธิ์
โดย...พวงรัตน์ อัศวพิศิษฐ์
โดย...พวงรัตน์ อัศวพิศิษฐ์
ได้มีโอกาสเห็นคำพิพากษาศาลฎีกาเกี่ยวกับคดีลิขสิทธิ์ที่โจทก์เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์เพลงฟ้องร้องร้านอาหารที่นำเพลงอันมีลิขสิทธิ์ของตนไปเปิดในร้านอาหารให้ลูกค้าฟังว่าละเมิดลิขสิทธิ์ และศาลฎีกาได้ตัดสินยกฟ้อง ซึ่งก็คือร้านอาหารเปิดเพลงให้ลูกค้าฟังได้ ไม่ถือว่าละเมิดลิขสิทธิ์ ซึ่งผู้เขียนไม่สามารถวิเคราะห์วิจารณ์คำพิพากษาดังกล่าวได้ เพียงแต่เห็นว่าเป็นเรื่องที่ประชาชนทั่วไปควรจะทราบไว้ เพราะน่าจะเป็นประโยชน์โดยเฉพาะกับร้านอาหาร ประกอบกับก่อนหน้านี้ได้อ่านพบในโซเชียลมีเดียที่จะดูไม่ค่อยพออกพอใจกับคำตัดสินของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง และศาลฎีกา ในเรื่องเกี่ยวกับลิขสิทธิ์เพลงเช่นกัน แต่ดูเหมือนจะเป็นกรณีร้านอาหารที่เป็นร้านคาราโอเกะด้วย เจ้าของลิขสิทธิ์เพลงฟ้องว่าละเมิดลิขสิทธิ์เช่นกัน โดยมีหลักฐานเป็นแผ่นซีดี 2 แผ่นในตู้เพลง ซึ่งศาลฎีกาพิพากษาให้ผิดและถูกปรับ ให้ลงโทษโดยการปรับ กรณีหลังนี้ผู้เขียนเองขอไม่ลงรายละเอียด เพราะไม่ได้ตั้งใจจะเปรียบเทียบระหว่าง 2 กรณี เนื่องจากมีรายละเอียดที่แตกต่างกัน เพียงแต่ยกมาให้เห็นเหตุผลว่า ทำไมจึงนำเรื่องนี้มาลงเป็นบทความในโพสต์ทูเดย์ โดยเฉพาะฎีกาที่ยกฟ้องนี้ได้มีการเวียนกันมากในโซเชียลมีเดีย ซึ่งที่จริงเคยมีคำพิพากษาฎีกาทำนองนี้มาแล้วในปี 2551 แต่สมัยนั้นอิทธิพลของโซเชียลมีเดียอาจจะยังไม่มากเท่าปัจจุบัน และที่จริงคำพิพากษาศาลฎีกาที่เวียนกันนี้ ก็มีมาตั้งแต่ปี 2553 ไม่ใช่ปัจจุบันเสียทีเดียว นั่นคือคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8220/2553 ซึ่งผู้เขียนขอคัดลอกมาลงในสาระสำคัญทั้งหมดตามข้างล่างนี้
“โจทก์ฟ้อง และแก้ไขคำฟ้องขอให้ลงโทษจำเลย ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 4, 6, 8, 15, 27, 28, 29, 30, 31, 69, 70, 75, 76 ขอให้ริบโทรทัศน์สี เครื่องเล่นซีดี ดีวีดี และขอให้แผ่นซีดีเพลงจำนวน 19 แผ่น ที่ละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหาย และเป็นของกลาง ตกเป็นของผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ และขอให้สั่งจ่ายเงินค่าปรับฐานละเมิดลิขสิทธิ์กึ่งหนึ่งให้แก่ผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง พิพากษายกฟ้อง ของกลางคืนให้แก่เจ้าของ
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง วินิจฉัยว่า ที่โจทก์อุทธรณ์การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 31 ประกอบมาตรา 70 วรรคสอง เห็นว่า พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 31 ซึ่งบัญญัติว่า “ผู้ใดรู้อยู่แล้วหรือมีเหตุอันควรรู้ว่างานใดได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่น กระทำอย่างใดอย่างหนึ่งแก่งานนั้นเพื่อหากำไร ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำการละเมิดลิขสิทธิ์ ... (2) เผยแพร่ต่อสาธารณชน...” ความผิดตามบทบัญญัติดังกล่าว จึงต้องเป็นการเผยแพร่งานนั้นต่อสาธารณชน “เพื่อหากำไร” ซึ่งหมายความว่า กำไรนั้นหากจำเลยได้มา หรือจะได้มา จะต้องเกิดจากการกระทำแก่งานที่ได้ทำขึ้น โดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่น แต่ตามที่โจทก์บรรยายฟ้องได้ความว่า จำเลยประกอบกิจการค้าขายอาหารตามสั่ง และเครื่องดื่ม จำเลยเปิดแผ่นวีซีดีเพลง “กำลังใจที่เธอไม่รู้” อันเป็นลิขสิทธิ์ของผู้เสียหาย ซึ่งได้มีผู้ทำขึ้นหรือดัดแปลงขึ้นให้ลูกค้าในร้านอาหารของจำเลยฟัง ไม่ปรากฏว่าจำเลยเปิดเพลงเพื่อหากำไรโดยตรงจากการที่ให้ลูกค้าได้ฟังเพลง โดยการเรียกเก็บค่าตอบแทนจากลูกค้าในการเปิดเพลง หรือเรียกเก็บเพิ่มรวมไปกับค่าอาหารและเครื่องดื่มแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 31 ประกอบมาตรา 70 วรรคสอง เพราะไม่ครบองค์ประกอบความผิดของบทมาตราดังกล่าว ซึ่งต้องเป็นการกระทำเพื่อหากำไรโดยตรงจากการละเมิดลิขสิทธิ์ แม้จำเลยให้การรับสารภาพ ก็ไม่อาจลงโทษจำเลยได้ ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ และวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539 มาตรา 26 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 วรรคหนึ่ง ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์ชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
ประเด็นสำคัญคือตรงที่เน้นไว้ ซึ่งฎีกานี้จะเป็นบรรทัดฐานในการพิจารณาคดีต่อไป การตัดสินต่างๆ ของศาลนั้น ล้วนดำเนินไปเพื่อความเป็นธรรม อย่างไรก็ตาม หากในอนาคตฝ่ายโจทก์สามารถแสดงความเชื่อมโยงระหว่างเพลงที่เปิดกับคนที่มาเข้าร้านอาหารได้ว่ามีการเข้าร้านอาหารเพิ่มขึ้นเพราะเพลงที่เปิด คดีก็อาจจะพลิกได้


