posttoday

เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ กับงานท้าทาย 'ปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ'

15 พฤศจิกายน 2558

หลังจากเป็นที่จับตามองในฐานะข้าราชการดาวเด่นของกระทรวงการคลังมานานหลายปี

โดย...ชลลดา อิงศรีสว่าง

หลังจากเป็นที่จับตามองในฐานะข้าราชการดาวเด่นของกระทรวงการคลังมานานหลายปี ในที่สุดคณะรัฐมนตรีก็แต่งตั้ง เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ จากรองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ขึ้นเป็นผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ทำให้เอกนิติกลายเป็นข้าราชการระดับอธิบดีที่มีอายุน้อยที่สุดของกระทรวงการคลังในขณะนี้

แม้จะเป็นข้าราชการระดับ 10 ในวัยเพียง 42 ปี แต่ประสบการณ์และความสามารถในการทำงานของเขาไม่ธรรมดา

“ผมเป็นคนชอบเรื่องเศรษฐกิจมหภาคมาก ผมชอบวิชาเศรษฐศาสตร์และได้เรียนถึง 3 ด้าน คือ เศรษฐศาสตร์การคลัง เศรษฐศาสตร์การเงิน และเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ” เอกนิติ กล่าว

เอกนิติเติบโตมาในครอบครัวข้าราชการ เมื่อเรียนจบชั้นปริญญาตรีก็หางานทำ แต่ด้วยการอยากรู้ความแตกต่างของหน่วยงานรัฐและเอกชน ทำให้เขาไปสมัครงานที่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ (บงล.) ภัทรธนกิจ ทำอยู่ไม่นานก็รู้สึกว่างานไม่ตรงกับความต้องการและความชอบ และอยากเรียนต่อ จึงลาออกมาสมัครสอบเข้ารับราชการเมื่อปี 2536 ที่กรมสรรพากร

“ตอนเป็นเจ้าหน้าที่ของสรรพากรเขตปทุมวัน ผมต้องออกไปตรวจและไล่จับพวกที่เลี่ยงภาษีด้วย ในขณะนั้น ดร.สมชัย ฤชุพันธ์ุ เป็นอธิบดีกรมสรรพากร พอท่านทราบว่าผมชอบงานวิชาการ ท่านก็โอนย้ายผมตามที่ขอไปอยู่ที่ สศค.” เอกนิติ กล่าว

หลังจากนั้นเขาก็ยื่นขอสอบชิงทุน ก.พ. ตามความต้องการของ สศค.ไปศึกษาต่อระดับปริญญาโทด้านเศรษฐศาสตร์ที่ University of Illinois at Urbana-Champaign มลรัฐอิลลินอยส์ และปริญญาเอกด้านเศรษฐศาสตร์ที่ Claremont Graduate University มลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา

เมื่อเรียนจบกลับมาทำงานในปี 2540 เป็นช่วงที่ประเทศไทยกำลังประสบกับวิกฤตการเงิน เขาได้รับมอบหมายให้เป็นหนึ่งในทีมเจรจากับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เพื่อขอความช่วยเหลือทางการเงิน มีส่วนในการแก้ไขปัญหาหนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (กองทุนฟื้นฟูฯ) การรวมบัญชีของธนาคารแห่งประเทศไทย

“การเป็นข้าราชการได้ให้โอกาสมากมายกับผมในการทำงาน และเป็นประสบการณ์ที่ไม่ได้หาได้ง่ายๆ ผมถูกส่งไปรับตำแหน่งอัครราชทูต (ฝ่ายเศรษฐกิจการคลัง) ประจำสหราชอาณาจักรและยุโรป และตำแหน่ง Senior Advisor ของธนาคารโลก ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ซึ่งเหล่านี้เป็นประสบการณ์
ที่มีคุณค่ามาก” เอกนิติ กล่าว

หลังกลับมาจากทำงานที่ธนาคารโลกไม่นาน สหรัฐอเมริกาก็เกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ต่อมาก็เกิดวิกฤตหนี้กรีซในยุโรป สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่น่ารู้ทั้งนั้น ซึ่งเอกนิติถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีมากในการเรียนรู้จากปัญหาของคนอื่น

แม้จะเป็นหน่วยงานหลักด้านเศรษฐกิจของประเทศ แต่กระทรวงการคลังเมื่อทศวรรษที่แล้วกลับไม่มีหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านการประมาณการเศรษฐกิจมหภาคเลย จนกระทั่งเอกนิติที่เพิ่งคว้าปริญญาเอกมาหมาดๆ ได้รับมอบหมายให้ทำภารกิจที่สำคัญนี้

กองนโยบายเศรษฐกิจมหภาค (ซึ่งปัจจุบันได้รับการยกระดับเป็นสำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค) ก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2545 เป็นต้นมา จนถึงเวลานี้ 13 ปีแล้ว นับเป็นผลงานที่เขาภาคภูมิใจมากที่สุดเพราะเป็นคนออกแบบและวางรากฐานของระบบการวิเคราะห์และประมาณการเศรษฐกิจไทยอย่างเป็นทางการขึ้นครั้งแรกในกระทรวงการคลัง และเป็นคนจัดทำรายงานประมาณการเศรษฐกิจไทยฉบับแรกของกระทรวงการคลัง

ความท้าทายยังไม่หมดแค่นี้ หลังจาก ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการ สคร. เอกนิติถือว่าได้รับมอบหมายงานสำคัญ มากอีกครั้ง

“ตั้งแต่ได้รับตำแหน่งใหม่ เหมือนเป็นเบอร์ 1 ของกรม ต้องคิดว่าจะขับเคลื่อนงานอย่างไร รัฐวิสาหกิจมี 55 แห่ง แต่ละที่ก็มี จุดอ่อนจุดแข็งที่ต่างกัน ผมต้องขอบคุณ ทีมงานที่ให้การสนับสนุนเป็นอย่างดี ผมให้ความสำคัญกับเรื่องคน ตอนนี้ก็วิ่งรอกประชุมทุกวัน ต้องหอบแฟ้มกลับไปทำงานที่บ้าน ได้นอนวันละ 4 ชั่วโมงเท่านั้น ใน 2 สัปดาห์แรก ผมทำงานอย่างมีความสุขมาก พี่กบ (กุลิศ สมบัติศิริ) อดีตผู้อำนวยการ สคร.อวยพรให้ทำงานอย่างมีความสุข ซึ่งผมก็มีความสุขที่ได้ทำงานที่ผมชอบ ทีมงานของ สคร.มีอยู่ 243 อัตรา แต่ผมกำลังทำเรื่องขอขยายคนเพิ่มอีก 50 อัตรา เพราะงานที่ต้องรับผิดชอบเยอะกว่าคน” เอกนิติ กล่าว

ปัญหาบุคลากรของ สคร.ยังมีปัญหาการลาออกของข้าราชการเยอะมาก ซึ่งเอกนิติเห็นว่าบุคลากรมีอายุเฉลี่ย 34 ปีเท่านั้น และ 57% ทำงานยังไม่ถึง 5 ปี ทำให้มีโอกาสที่ข้าราชการจะลาออกไปจากองค์กรสูง จึงต้องหาวิธีรักษาบุคลากรที่มีค่าเหล่านี้ไว้

“บรรยากาศในการทำงานเป็นสิ่งสำคัญ ทำงานต้องสนุกด้วยและเป็นทีมที่ดี เชื่อหรือไม่ว่าข้าราชการผมมาเช้ากลับสามทุ่มเป็นส่วนใหญ่ เขาเป็นคนรุ่นใหม่แฮปปี้ที่จะได้คุยแลกเปลี่ยนกันหลังเลิกงาน ผมเห็นว่าการเรียนรู้เป็นสิ่งจำเป็น จึงได้ตั้งโรงเรียน สคร.เพื่อให้ความรู้และอบรมความรู้และถือโอกาสสื่อสารกับคนในองค์กรไปด้วย” เขากล่าว

ผู้อำนวยการ สคร.กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้ประเทศกำลังอยู่ในช่วงของการปฏิรูป เรามี พ.ร.บ.กำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ จะมีการตั้งองค์กรขึ้นมาดูแลโดยตรงเลย สคร.มีภารกิจที่จะต้องทำมากมายหลายเรื่อง นอกจากจะต้องปฏิรูปรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งแล้ว ยังมีโครงการพีพีพีที่ได้รับมอบหมายให้ทำด้วย เพราะเป็นหัวใจสำคัญในการทำให้ลงทุนโดยหนี้สาธารณะของประเทศไม่เพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ หนี้สาธารณะของประเทศในขณะนี้อยู่ที่ 43% ซึ่งจะต้องจำกัดไม่ให้เกิน 60% แต่รัฐวิสาหกิจจะต้องลงทุนเพิ่ม จำเป็นต้องหาช่องทางลงทุนรูปแบบใหม่ทั้งการทำกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน (อินฟราสตรักเจอร์ฟันด์) ออกพันธบัตรระดมทุน การเปิดให้ลงทุนในรูปแบบพีพีพี เป็นต้น

“ในเดือน ธ.ค.นี้ แนวทางการระดมทุนต่างๆ ต้องเสร็จ ซึ่งจะต้องนำเสนอให้กับสถาบันต่างประเทศ” เอกนิติ กล่าว

นอกจากนี้ จำเป็นที่จะต้องทำรัฐวิสาหกิจให้แข็งแรง เพราะรายได้คลังจากภาษีไม่เข้าเป้า ก็ต้องส่งรายได้จากรัฐวิสาหกิจเข้าไปช่วย ในปีนี้รัฐวิสาหกิจมีรายได้ส่งคลังเพิ่มเป็น 1.2 แสนล้านบาท จากที่ได้เฉลี่ยปีละ หมื่นกว่าล้านบาท ทำให้เห็นว่าหากเพิ่มประสิทธิภาพของรัฐวิสาหกิจก็จะมีรายได้กลับมาพัฒนาประเทศด้านอื่นอีกมาก

ผู้อำนวยการ สคร.เห็นว่า การเร่งออกกฎหมายกำหนดคุณสมบัติของผู้ที่จะมาเป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจก็เป็นเรื่องสำคัญที่เราต้องรีบดำเนินการ ถึงจะมีกรรมการสรรหาแต่ละหน่วยงาน แต่ยังไม่พอจะต้องคัดเลือกคนที่ดีมีความสามารถเข้ามาบริหารรัฐวิสาหกิจ เหมือนระบบการคัดเลือกผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ที่เป็นระบบที่ดีมาก

“สิ่งที่ซูเปอร์บอร์ดที่ดูแลรัฐวิสาหกิจจะต้องทำคือ แผนการพัฒนารัฐวิสาหกิจที่จะต้องมาดูทิศทางว่า 5 ปีข้างหน้า รัฐวิสาหกิจจะเดินหน้าอย่างไร รวมทั้งวางแผนระยะยาวด้วย มีแผนงานที่ชัดเจนก็จะลดการแทรกแซงจากฝ่ายการเมืองได้ในอนาคต” เอกนิติ กล่าว

สิ่งที่เอกนิติรู้สึกเป็นเรื่องแปลกในการกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจคือ ผู้อำนวยการ สคร.จะเป็นเลขานุการคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) แต่ปลัดกระทรวงการคลังไม่ได้อยู่ใน คนร. ตามหลักการ สคร.ต้องอยู่ภายใต้ปลัดกระทรวง โดยทางปฏิบัติเขาก็ต้องรายงานต่อปลัดกระทรวงการคลังและบอร์ด คนร.ไปพร้อมๆ กัน

งานที่ท้าทายความสามารถที่ยังรออยู่ข้างหน้ายังมีอีกมาก แต่เอกนิติก็ยังมีความสุขกับชีวิตข้าราชการ ตลอด 23 ปีของชีวิตข้าราชการ เขาเห็นว่าเปลี่ยนแปลงไปมาก ในอดีตเป็นยุคที่ข้าราชการยึดมั่นในหลักการอย่างหนักแน่น แต่ปัจจุบันมีความเป็นนักวิชาการลดลง อาจจะเป็นเพราะโดนแทรกแซงมามาก คนเก่งไม่ได้รับการโปรโมท คนได้โปรโมทก็ไม่เก่ง ทำให้คนดีหนีออกไปอยู่ภาคเอกชนเยอะ

“ขณะนี้จะต้องเปลี่ยนกลับมาเป็นเทคโนแครตให้เยอะขึ้น ระบบต้องกลับมาสนับสนุนคนเก่งคนดีให้มีโอกาสทำงาน และในอีก 5 ปีข้างหน้าจะเห็นการเปลี่่ยนแปลงของข้าราชการรุ่นใหม่จะก้าวขึ้นมามีบทบาทเพราะจะมีผู้อาวุโสเกษียณไปก็เอาเงินส่วนนี้กลับมาเพิ่มค่าตอบแทนให้ข้าราชการมีค่าตอบแทนที่ดีขึ้นได้” เอกนิติ กล่าวทิ้งท้าย

ข่าวล่าสุด

Alex Dilling at Lord Jim's เปิดตัวเมนูฤดูหนาวสุดหรู สัมผัสศิลปะครัวยุโรป