พระหาย ความมั่นใจสิ้นสูญ
ความรู้สึกวูบลงทันใด เมื่อรู้ตัวว่าพระเครื่องที่ห้อยคออยู่นั้นหายไป คงเป็นผลจากความเมามายอย่างหนักเมื่อคืนที่ผ่านมา
โดย...อภิวัจ สุปรีชาวุฒิพงศ์
ความรู้สึกวูบลงทันใด เมื่อรู้ตัวว่าพระเครื่องที่ห้อยคออยู่นั้นหายไป คงเป็นผลจากความเมามายอย่างหนักเมื่อคืนที่ผ่านมา
ความรู้สึก “ใจหาย” เมื่อรู้ว่า “พระหาย” อาจเป็นเพราะอีกไม่กี่วันผมต้องลงไปปักหลักทำงานที่ชายแดนภาคใต้ เป็นการปักหลักโดยที่ยังไม่รู้กำหนดเวลาว่าต้องอยู่นานเท่าไหร่ เป็นความรู้สึกประหวั่นต่อภารกิจที่ต้องทำมากกว่า หาใช่เรื่องของคุณพระ ที่จะช่วยให้แคล้วคลาด รอดพ้นอันตรายอะไรแบบนั้น
ผมได้พระองค์นี้จากแม่ ก่อนผมเรียนจบมหาวิทยาลัย เป็นพระปางเปิดโลกเนื้อผง ซึ่งผงที่นำมาทำพระนั้นได้มาจากปูนเก่าของพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช บ้านเกิดของผมเอง พ่อซึ่งเป็นกรรมการดูแลการบูรณะองค์พระธาตุในช่วงปี 2537-2538 เช่ามาหลายองค์ มอบให้กับลูกหลานและคนใกล้ชิดที่รักใคร่ชอบพอ
ตอนที่แม่ให้พระมานั้น ก็ไม่ได้กำชับบอกเล่าอะไร นอกจากบอกว่า “เป็นพระบ้านเรา พ่อเช่ามาให้” ผมสรวมคอบูชาอยู่เกือบปี จนวันหนึ่งพ่อก็เล่าประวัติการสร้างให้ฟัง และมอบคาถาไว้ให้บทหนึ่ง
คาถาบูชาพระของพ่อสั้นๆ จำง่าย โดยให้สวดบูชาพระรัตนตรัย อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวาฯ จนจบ แล้วให้ตั้งจิตภาวนา “ขอคุณพระศรีรัตนตรัยเตือนสติทุกการกระทำ”
ในฐานะข้าราชการที่ทำงานใกล้ชิดกับโรงเรียนและวัด พ่อศึกษาธรรมะมาพอสมควร งานบุญในหมู่เครืองานนั้น ทุกคนยกให้พ่อเป็นเจ้าพิธี จัดเตรียมพิธีการ นำไหว้ นำสวด ช่วงวัยเด็กที่ยังใกล้ชิดพ่อ ผมมักได้ฟังพ่อยกเอาหลักธรรมมาเป็นคำสอน เป็นแบบอย่างของชีวิตอยู่บ่อยๆ ธรรมะที่พ่อสอนก็เพื่อเป็นสิ่งเตือนใจเตือนความคิด แต่ไม่เคยให้ยึดติดพิธีกรรม
หลังเรียนจบมหาวิทยาลัย ผมเคยถามพ่อว่า จะให้ผมบวชหรือไม่ พ่อบอกว่า “ก็แล้วแต่ ที่สำคัญไม่ใช่ห่มผ้าเหลือง อันนั้นบวชแต่ตัวแต่ไม่ได้บวชใจ”
ผมเข้าใจดีถึงความหมายที่พ่อต้องการให้คุณพระศรีรัตนตรัยเตือนสติทุกการกระทำ
ผมภาวนาคาถาของพ่อทุกครั้งที่สรวมพระ เป็นความมั่นใจอันคุ้นเคย ในวันที่ไม่มีพระ ไม่ได้สวดภาวนา ยิ่งในภาวะที่ได้รับมอบหมายให้ไปทำหน้าที่อันท้าทาย ก็เสมือนความมั่นใจที่เคยมีลดหายไป
ก่อนลงใต้ ครูบาอาจารย์เรียกให้ไปหา สั่งสอน ชี้แนะแนวทาง ไม่ต่างกับการให้คาถาคุ้มตัวมาหลายบท ถึงแม้จะมีพระเครื่องดีๆ อยู่มากมาย แต่ครูไม่ได้ให้พระมาสักองค์ คงเป็นเพื่อนรักคนหนึ่ง ที่ให้เหรียญพระพุทธชินราชจากพิษณุโลก ด้านหลังเป็นพระนเรศวรมหาราช ซึ่งตำรวจ ทหาร ให้ความเคารพนับถือเช่าบูชากันมาก เพื่อนให้ผมมาเหรียญหนึ่ง
แรกๆ ผมร่ำๆ จะสรวมเหรียญนี้ลงใต้ แต่มีความรู้สึกว่าในดินแดนที่ความรุนแรงผลักดันผู้คนให้เหินห่างซึ่งกำลังจะเดินทางไปนั้น สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าภยันตรายคือ การไม่ได้รับความไว้วางใจ สมเด็จพระนเรศวรท่านเป็นนักรบ คงไม่เหมาะที่จะบูชาอัญเชิญท่านไปในงานแบบนี้
ผมลงใต้โดยไม่มีพระห้อยคอ คงมีแต่คำสอนของครูที่ให้ไว้เป็นแนวทาง แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ได้ตั้งสติ คิด ไตร่ตรอง อย่างรอบคอบมากกว่าทุกๆ ครั้งในชีวิต
ครูเคยเป็นหลักพิงให้ในช่วงเวลาการตัดสินใจสำคัญเสมอมา ยามที่ไม่มีครูอยู่ด้วย เมื่อต้องเลือกในเรื่องสำคัญว่าจะทำหรือไม่ทำ เพราะผลกระทบที่อาจตามมานั้นหนักหนายากรับมือ เสมือนมีสิ่งกระตุ้นให้มองหาทางเลือกที่ 3 “ทำอย่างไร” คำถามใหม่ช่วยพาให้กลับมาตั้งหลักคิดใหม่ กระทั่งพบทางออก
ผมผ่านช่วงเวลานี้ได้ด้วยสติและคำครู
ผ่านมา 10 ปีเต็มสำหรับช่วงเวลานั้นจนถึงขณะนี้ ผมได้พระคืนมานานแล้ว แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป
พระเครื่องนั้นเป็นของนอกกาย อาจสูญหายไปอีกเมื่อไหร่ก็ได้ แต่หากพระอยู่ในใจ ไม่ว่ากระทำสิ่งใดย่อมมีหลักกำกับสติ
ก็เหมือนสมัยที่อยู่ชายแดนใต้ ผมทบทวนคำสอนของครู และตั้งคำถามว่า ถ้าเป็นครู ครูจะทำอย่างไร
ความช่วยเหลือที่ครูเคยเป็นหลักพิง เสมือนโอกาสที่ช่วยให้ผ่านมาได้ แต่ถ้าจะไปต่อ ย่อมต้องพึ่งพาประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้มา
แน่นอน ประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้จากอดีต ไม่ใช่คำตอบทั้งหมดของอนาคตที่เราไม่รู้จัก แต่อย่างน้อยก็ทำให้อุ่นใจว่า น่าจะพอรับมือได้


