พี่น้อง ผองเพื่อน พวก และพรรค
วันนี้อยากคุยสังคมวิทยาการเมืองสักเรื่อง คือเรื่องการรวมกลุ่มเพื่อสร้างอำนาจทางการเมืองในแต่ละระดับ
โดย...ทวี สุรฤทธิกุล
วันนี้อยากคุยสังคมวิทยาการเมืองสักเรื่อง
คือเรื่องการรวมกลุ่มเพื่อสร้างอำนาจทางการเมืองในแต่ละระดับ จากระดับที่มีความเป็นกันเองมากที่สุด ไปจนถึงระดับที่เป็นทางการมากที่สุด คือตั้งแต่ระดับ “พี่น้อง” ต่อด้วย “ผองเพื่อน” ตามมาด้วย “พวก” และสุดท้ายคือ “พรรค”
สังคมวิทยาการเมืองเป็นแขนงหนึ่งของวิชารัฐศาสตร์ ว่าด้วยความสัมพันธ์ทางสังคมที่มีผลต่อการเมืองการปกครอง (รัฐศาสตร์หมายถึงการเมืองการปกครอง) ซึ่งสังคมก็หมายถึงกลุ่มคนตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป มาร่วมกันทำ “หน้าที่” หรือแสดง “บทบาท” บางอย่าง ให้ไปสู่ความต้องการหรือเป้าหมายของกลุ่ม ดังนั้นทุกที่ที่มีการรวมกันของมนุษย์ย่อมมีการเมืองอยู่เสมอ
วันก่อนได้ดูหนังจีนกำลังภายในทางทีวีดาวเทียมช่องหนึ่งชื่อเรื่อง “ลูกมังกรหยก” เนื้อเรื่องเต็มไปด้วยการตามล่าล้างแค้นกันไปมาระหว่างพรรคต่างๆ (ภาษาจีนจะเรียกพรรคนี้ว่าอย่างไรขอผู้รู้หรือผู้ที่เคยอ่านฉบับนิยายช่วยให้ความรู้ด้วย) มีข้อคิดและคำคมมากมาย แต่ที่ผู้เขียนสนใจก็คือ “ความหมายของคำว่าพรรค” ที่หนังเรื่องนี้ได้ซ่อนเงื่อนไว้อย่างน่าสนใจ
พระเอกของหนังเรื่องนี้ชื่อว่า “เตียบ่อเกี้ย” สังกัดสำนักบู๊ตึ้งซึ่งเป็นฝ่ายมาร แต่ประวัติของเตียบ่อเกี้ยนี้ค่อนข้างยอกย้อนพอสมควร (รวมถึงตัวแสดงอื่นๆ ที่มีกำเนิดและความเกี่ยวพันกันอย่างสลับซับซ้อน ซึ่งน่าจะเป็นธรรมดาของนิยายแนวนี้) ระหว่างกำลังออกเดินทางไปหาบิดาซึ่งไม่เคยเจอกันเลยตั้งแต่เกิด ก็ให้เจอกับเหตุการณ์ต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะต้องสู้รบกับฝ่ายเทพหรือธรรมะ ที่นำโดยสำนักง่อไบ๊และสำนักวัดเส้าหลิน ที่สุดเตียบ่อเกี้ยซึ่งไปได้เคล็ดลับวิชายุทธ์ชั้นสูงมาโดยบังเอิญ (อันเป็นสีสันตามปกติของนิยายกำลังภายใน) สามารถรบชนะ แต่เรื่องยังไม่จบเท่านี้ เพราะจะต้องติดตามชมในเรื่อง “ลูกมังกรหยก ภาค 2” ในสัปดาห์ต่อไป
ตอนหนึ่งฝ่ายมารกำลังถูกหัวหน้าสำนักง่อไบ๊บังคับให้ยอมแพ้ โดยตัดแขนทรมานอย่างเลือดเย็น แต่ทุกคนก็ร้องออกมาพร้อมกันว่า “พวกเราไม่กลัวตาย พวกเราไม่เสียดายชีวิต พวกเรายอมอุทิศ แม้ชีวิตของพวกเรา รักษาเอาไว้ซึ่งอุดมการณ์” (ผู้เขียนปรับใจความนิดหน่อยเพื่อให้เป็นคำคล้องจอง แต่ก็ยังรักษาเนื้อหาที่คนเหล่านั้นพูดออกมาพร้อมๆ กัน)
ถ้อยคำนี้แหละที่เป็นหัวใจของบทความวันนี้
ประเทศจีนเป็นประเทศที่มีอารยธรรมเก่าแก่ ไม่เฉพาะแต่ทางด้านศิลปวัฒนธรรมและวิทยาการทั้งหลายเท่านั้น แต่ยังเป็นชาติมหาอำนาจชาติแรกๆ ของโลกที่มีอารยธรรมทางด้านการเมืองการปกครองที่โดดเด่น หนังที่สร้างมาจากนิยายกำลังภายในก็เช่นกัน ก็เป็นเรื่องที่สะท้อนมาจากประวัติศาสตร์ทางการเมืองการปกครอง ปรัชญาชีวิต และปรัชญาสังคม อย่างซึมลึก
สังคมจีนถูกหล่อหลอมมาด้วยแนวคิดของ “ขงจื่อ” (ที่คนไทยสะดวกเรียกเสมอมาว่า “ขงจื๊อ”) ในยุคใกล้เคียงกันกับสมัยของพระพุทธเจ้า คือเมื่อราว 2,500 กว่าปีมาแล้ว แนวคิดของขงจื่อแม้จะเป็นคำสั่งสอนของปราชญ์ แต่ก็ไม่นับว่าเป็นศาสนา เพราะขงจื่อไม่ได้ประกาศตัวเองเป็นศาสดา รวมถึงไม่มีพิธีกรรมหรือระเบียบปฏิบัติในความเป็นหมู่คณะ (ที่บางศาสนาเรียกว่า “สาวก” บ้าง หรือ “ศิษย์และอนุศิษย์” บ้าง) มีแต่ข้อควรปฏิบัติเป็นกรอบในการดำรงชีวิตและความสัมพันธ์ระหว่างกัน ได้แก่ พี่กับน้อง สามีกับภรรยา พ่อแม่กับลูก ผู้ปกครองกับผู้ถูกปกครอง ซึ่งต่อมาคนจีนก็ได้สร้างประเพณีและธรรมเนียมปฏิบัติ รวมถึงพิธีกรรมต่างๆ ขึ้นมา เพื่อแสดงถึงความสัมพันธ์ในแต่ละรูปแบบดังกล่าว เช่น การเซ่นไหว้บรรพบุรุษ และเคารพต่อฟ้าดิน เป็นต้น
ท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เคยพูดถึงความสัมพันธ์อันแนบแน่นของคนจีนเป็นคำคมที่ท่านจำมาจากการอภิปรายในสภาของสมาชิกรัฐสภาท่านหนึ่ง ซึ่ง สส.ท่านนั้นพูดว่า “รวมกันได้ไม่ใช่แขก แตกกันได้ไม่ใช่เจ๊ก” ซึ่งมีความหมายว่า คนแขก (ที่รวมถึงทั้งแขกอินเดียและแขกอาหรับ) มักชอบทะเลาะกัน อย่างที่มีการสู้รบกันอยู่ในชมพูทวีปและตะวันออกกลาง (ตอนนั้นอยู่ในช่วงที่มีสภานิติบัญญัติแห่งชาติหรือสภาสนามม้าในปี 2516-2517 มีสงครามที่อินเดียตอนใต้ และมีสงครามที่ตะวันออกกลาง) ส่วนคนจีนมีความแนบแน่นกันอย่างแข็งแกร่ง แม้จะอยู่ที่ใดในโลกก็ผูกพันเป็นญาติพี่น้องกันเสมอ อย่างที่คนจีนอพยพไปอยู่ที่ใดก็สร้าง “ไชน่าทาวน์” ขึ้นในทุกประเทศ และที่สำคัญคือ ไม่ลืมวัฒนธรรมประเพณี ยังคงเป็นคนจีนอย่างมั่นคง
นักปราชญ์ของจีนนอกจากขงจื่อนี้แล้ว ก็ยังมีปราชญ์คนอื่นๆ อีกมาก เช่น “เล่าจื้อ” ที่เกิดในยุคไล่เลี่ยกันก็เป็นเจ้าของลัทธิ “เต๋า” หรือ “ธรรมชาติ” เจ้าของคำสอนทางการเมืองการปกครองที่ว่า “การปกครองที่ดีที่สุดคือการปกครองที่ (ใช้อำนาจ) น้อยที่สุด” รวมถึงวาทะที่ว่า “กระทำโดยไม่กระทำ” แล้วต่อมาแนวคิดนี้ได้แผ่ขยายข้ามไปที่เกาะญี่ปุ่น เกิดเป็นลัทธิที่เป็นวัฒนธรรมสำคัญเรียกว่า “เซ็น” ที่สะท้อนความเป็นญี่ปุ่นได้อย่างโดดเด่นชัดเจน
ส่วนในหนังเรื่องลูกมังกรหยกได้อ้างถึงปราชญ์อีกท่านหนึ่งชื่อ “จวงจื๊อ” ผู้มีแนวคิดในแนว “วิพากษ์” คือไม่ค่อยคิดให้เหมือนใคร คอยจะขัดแย้งโต้เถียงกับใครๆ เสมอ (ถ้าเป็นสมัยนี้จะเรียกว่าพวก “โพสต์โมเดิร์น” ก็ได้) ในฉากที่พ่อหมอผู้รักษาเตียบ่อเกี้ยกำลังจะถูกแม่ชีหัวหน้าสำนักง่อไบ๊ฆ่าตายได้พูดออกมาว่า “อยู่ใช่สุข ตายใช่ทุกข์” (ฟังดูกวนประสาทเบื้องล่างไหมครับพี่น้อง) ที่ควรจะพูดเป็นภาษาชาวบ้านว่า “ตายดีกว่าอยู่ อยู่ไปก็ไลฟ์บอย เอ๊ย เท่านั้น”
กำลังจะเข้าไคลเข้าฝัก ก็เหลือเนื้อที่ไม่พอที่จะเล่าความละเอียดของคำว่า “พี่น้อง ผองเพื่อน พวก และพรรค” ได้ทั้งหมด แต่สิ่งที่ผู้เขียนขอทิ้งท้ายไว้แล้วค่อยไปอธิบายให้ละเอียดในสัปดาห์หน้าก็คือ อยากพูดถึงกำเนิดของพรรคการเมืองแบบจีน ที่เกิดจากความสัมพันธ์อันแนบแน่นในระดับต่างๆ โดยเริ่มจากครอบครัว คือความสัมพันธ์แบบพี่น้องที่ผูกพันกันด้วยสายเลือด ไปสู่ความเป็นเพื่อนอันเกิดจากมิตรภาพและความจริงใจระหว่างกัน แล้วพัฒนาเป็นความสัมพันธ์แบบพวกที่มีความสัมพันธ์อันซับซ้อนมากขึ้น ที่สุดคือความเป็นพรรคที่ผูกพันกันด้วยอุดมการณ์
จีนในสมัยโบราณเมื่อ 3,000 ปีที่แล้ว ก็แบ่งฝักแบ่งฝ่ายทะเลาะกันเรื่อยมา แม้อีก 500 ปีต่อมา “จิ๋นซีฮ่องเต้” จะรวมประเทศเป็นชาติจีนได้ แต่ก็ยังแบ่งพวกสู้รบอยู่เสมอ อย่างที่เป็นตำนานโด่งดังคือเรื่อง “สามก๊ก” ก็เกิดขึ้นราวปี 700 เศษๆ ดังคำที่ว่า “มีครามแล้วสงบ สงบแล้วมีสงคราม” แม้เมื่อสิ้นสุดระบอบกษัตริย์ในปี 2453 แต่พอมาเป็นสาธารณรัฐก็ทะเลาะกันไม่จบ กระทั่งเหมาเจ๋อตงขับไล่เจียงไคเช็กไปอยู่เกาะที่ไต้หวัน แล้วจีนก็เป็นคอมมิวนิสต์
ระบบ “พรรคเดี่ยว” นี่แหละที่ทำให้จีนเป็นมหาอำนาจอีกครั้ง!


