แกนนำขาดเอกภาพ กระแส "เสื้อแดง" จุดไม่ติด
ตราบใดที่ นปช.ยังมีปัญหาเรื่องเอกภาพเช่นนี้ ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะปลุกมวลชนออกมาคัดง้างกับ คสช.
โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์
ประเมินทิศทางลมเวลานี้ การรณรงค์ให้บรรดาแนวร่วมแฟนคลับทั้งหลายพร้อมใจกัน “สวมเสื้อแดง” เพื่อให้กำลังใจ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 1 พ.ย.นี้ คงเป็นกระแสที่ยากจะจุดติด
หนึ่งในเงื่อนไขสำคัญอยู่ที่ประเด็น “เอกภาพ” ของบรรดาแกนนำที่ต่างคนต่างทำจนไร้พลัง แถมหากเป็นเช่นนี้ต่อไป ย่อมส่งผลถึงทิศทางการเคลื่อนไหวทางการเมืองต่อไปในอนาคต
ต้องยอมรับว่า กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือกลุ่มคนเสื้อแดง เป็นฐานมวลชนที่โอบอุ้มค้ำจุนพรรคเพื่อไทยจนสามารถเป็นรัฐบาลเสียงข้างมากมาได้หลายสมัย
แถมยังเป็นฐานสำคัญให้ “รัฐบาลเพื่อไทย” ได้ใช้หลังพิงมวลชนเพื่อเดินหน้าภารกิจร้อนทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจำนำข้าวที่สร้างความเสียหายรุนแรง หรือการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่เป็นการจุดชนวนให้มวลมหาประชาชนออกมาขับไล่รัฐบาล
แต่บทบาทวันนี้ของ นปช.ซึ่งเปลี่ยนแกนนำมาจนถึงมือ จตุพร พรหมพันธุ์ ดูจะไม่เข้มแข็งเหมือนในอดีต แกนนำหลายคนยังต่างคนต่างเดินไม่ได้ขับเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกัน
ล่าสุดกับกรณีนัดกันใส่เสื้อแดง จตุพรต้องรีบชิงการนำออกมาประกาศว่า นปช.ไม่ได้เป็นแนวต้นคิด ส่งสัญญาณถึงเสื้อแดงมีสติและสงบนิ่ง ไม่ควรไปเดินตามเกมของขบวนการเสี้ยมที่วางแผนหลอกให้ใส่เสื้อแดงวันที่ 1 พ.ย.
สวนทางกับแกนนำ นปช. อย่าง เชิดชัย ตันติศิรินทร์ ที่ออกมาชี้แจงว่า “ใครก็ห้ามไม่ได้ ผมจะใส่เสื้อแดงในวันอาทิตย์ที่ 1 พ.ย. เพราะปกติใส่ทุกวันอาทิตย์อยู่แล้ว และเชื่อว่าแกนนำ นปช.หลายคนจะใส่เสื้อแดงเช่นกัน ถ้าในวันที่ 1 พ.ย. มีคนใส่เสื้อแดงจำนวนมาก อาจจะมีการชักชวนให้ใส่เสื้อแดงในทุกสัปดาห์ก็ได้”
ขณะที่แกนนำบางส่วนยังแบ่งรับแบ่งสู้ ไม่ได้สั่งห้าม ไม่ได้สนับสนุน ทั้ง นพ.เหวง โตจิราการ วรชัย เหมะ โดยพยายามเบี่ยงประเด็นว่าเป็นเรื่องของสิทธิที่สามารถทำได้ แต่ นปช.ไม่ได้เป็นคนนัด และเชื่อว่าจะมีคนใส่เสื้อแดงเป็นจำนวนมาก
ยิ่งแกนนำเสื้อแดงระดับพื้นที่ยิ่งไปคนละทาง เมื่อแกนนำภาคเหนือ ศิริวัฒน์ จุปะมัดถา ระบุว่า นปช. 17 จังหวัด ภาคเหนือ ยินดีที่จะใส่เสื้อแดงในวันที่ 1 พ.ย. เพื่อให้กำลังใจอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์
ต่างจากท่าทีของ นปช.อีสาน อย่าง ขวัญชัย สาราคำ หรือ ไพรพนา ประธานชมรมคนรักภาคอีสาน 20 จังหวัด กำชับให้มวลชนอยู่ในที่ตั้ง ไม่มีการเคลื่อนไหวใช้ชีวิตปกติในพื้นที่
“อย่าไปเป็นสายล่อฟ้า ทำให้รัฐบาลไม่สบายใจ ถ้าจะรักก็ให้รักอยู่ในใจ อย่าแสดงออก ส่วนประชาชนจะใส่เสื้อสีแดง ถือว่าเป็นสิทธิของพวกเขา อย่าทำอะไรโฉ่งฉ่าง รอเวลาประชาธิปไตยเต็มใบค่อยออกมา”
สัญญาณร้าวดูจะรุนแรงขึ้นเมื่อจตุพรเปิดหน้าเหน็บแนมไปยังเสื้อแดงที่ออกมาเคลื่อนไหวเรื่องนี้ ทั้ง “พวกร้อนวิชาเมื่อถูกล่อจึงอยากออก แล้วจะเป็นคุณหรือโทษกับยิ่งลักษณ์ การรักคน ต้องรักอย่างมีสติ ตอนนี้หนังอยู่ท้ายเรื่องใกล้จบแล้ว” หรือ “การต่อสู้เพลี่ยงพล้ำที่ผ่านมา ส่วนใหญ่แล้วเกิดจากคนกลุ่มเล็กๆ คิดกระทำการแล้วตกเป็นเหยื่อ”
“ถ้าอ่านเกมไม่ออกอย่าเป็นผู้เป็นคนเลย หากอยากเก่งก็แสดงความเห็นส่วนตัวไป ประกาศว่าเป็นใครที่ไหนก็ทำไป ผมไม่ต้องการให้องค์กรไปเกี่ยวข้อง และอย่ามาทำตัวเป็นพวกเดียวกัน แล้วมาทิ่มแทงกัน พวกนี้เลวร้ายยิ่งกว่าศัตรูเสียอีก”
หากจำได้การรณรงค์สวมเสื้อแดงนับเป็นหนึ่งในโมเดลการเคลื่อนไหวที่มีประสิทธิภาพจนปลุกมวลชนออกมาร่วมกิจกรรมได้มากขึ้นเรื่อยๆ นับจากช่วงหลังรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549
บทเรียนครั้งนั้นทำให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ไม่อาจประมาท จนต้องออกมาส่งสัญญาณกดดันไปยังแกนนำไม่ให้คิดปลุกกระแสเสื้อแดงรอบใหม่
ยิ่งแกนนำแต่ละคนล้วนมีแผลเก่าติดตัว การจะออกมาเคลื่อนไหวท้าทายอำนาจรัฏฐาธิปัตย์ที่มีอำนาจพิเศษ ตามมาตรา 44 ย่อมไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก
อีกทั้งหากติดตามความเคลื่อนไหวของ นปช.ในระยะหลัง ต้องยอมรับว่าพลังของคนเสื้อแดงลดลงไปมาก นับจากที่ กปปส.เริ่มชุมนุมเรื่อยมาจนถึงการรัฐประหาร 22 พ.ค. 2557
แกนนำหลายคนเปลี่ยนท่าทีกลับไปเก็บเนื้อเก็บตัวไม่ออกมาเคลื่อนไหวใดๆ นับจากถูก คสช.เรียกตัวไปปรับทัศนคติ
ขณะที่หลายฝ่ายมองว่าการจุดกระแสเสื้อแดงวันที่ 1 พ.ย.นี้ เป็นหลุมพรางที่บางฝ่ายตั้งใจขุดล่อเอาไว้ให้เสื้อแดงไปติดกับ ขณะที่บางฝ่ายมองว่าเงื่อนไขเรื่องคดีของยิ่งลักษณ์อาจไม่ใช่ปมใหญ่ที่คุ้มค่ากับการเคลื่อนไหว
เมื่อปมใหญ่อย่างเรื่องรัฐธรรมนูญที่จะเป็นชนวนร้อนในวันข้างหน้า อาจมีน้ำหนักมากกว่าในการเรียกมวลชนให้ออกมาร่วมเคลื่อนไหว
แต่ตราบใดที่ นปช.ยังมีปัญหาเรื่องเอกภาพเช่นนี้ ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะปลุกมวลชนออกมาคัดง้างกับ คสช.ที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในมือ


