posttoday

‘ชาญ’ ชีวิตหลากอาชีพ สู่ท็อปดีลเลอร์โตโยต้า

25 ตุลาคม 2558

ถือเป็นหนึ่งในดีลเลอร์โตโยต้าที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากสำหรับบริษัท โตโยต้า ทีบีเอ็น

โดย...จะเรียม สำรวจ

ถือเป็นหนึ่งในดีลเลอร์โตโยต้าที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากสำหรับบริษัท โตโยต้า ทีบีเอ็น เนื่องจากมีจำนวนโชว์รูมจำหน่ายรถโตโยต้าเพียง 4 สาขา แต่สามารถสร้างยอดขายรถได้ติดท็อปเทนของจำนวนดีลเลอร์โตโยต้าที่มีอยู่ทั่วประเทศ ด้วยสูตรการทำธุรกิจที่ค่อนข้างแตกต่างไปจากผู้ประกอบการรายอื่นๆ คือ หันมาสร้างคอมมูนิตี้มอลล์ควบคู่ไปกับการสร้างโชว์รูมจำหน่ายรถ เพื่อให้บริการมีความครบวงจรและสมบูรณ์แบบ

แต่ก่อนที่จะมาถึงวันนี้ ชาญ เลิศประเสริฐภากร ประธานกรรมการบริหาร บริษัททีบีเอ็น กรุ๊ป ผ่านอะไรมามากมายหลายอาชีพ ด้วยความที่เป็นคนที่แสวงหาความรู้และความก้าวหน้าในชีวิต จึงทำให้ทุกอาชีพที่ชาญได้เคยเข้าไปสัมผัสกลายเป็นประสบการณ์ที่ดีที่หล่อหลอมจนทำให้ชาญประสบความสำเร็จในทุกวันนี้

ชาญ เล่าว่า ตั้งแต่เด็กเป็นต้นมาผมทำงานหนักมากชีวิตการทำงานเริ่มตั้งแต่อายุประมาณ 8-9 ขวบ เริ่มจากการขายหวานเย็น ขายลอตเตอรี่ ขายไอศกรีม เหตุผลที่ต้องมาหารายได้เพิ่ม เพราะเอาเงินที่แม่ให้ไปซื้อสลากออมสินหมด เมื่อยังอยากกินอยากใช้ก็เลยต้องหาเงินเพิ่ม ซึ่งเหตุผลที่ทำให้ต้องเอาเงินไปซื้อสลากออมสิน เพราะเรารู้ว่าแม่หาเงินมาด้วยความยากลำบาก ดังนั้นเงินที่แม่ให้ไปวันละ 3-5 บาท เลยเอาไปซื้อสลากออมสิน เพื่อให้ได้เงินเพิ่มขึ้นมา โดยสลากที่ซื้อสะสมไว้ก็ถูกรางวัลต่างๆ มาโดยตลอด

หลังจากจบประถมศึกษาปีที่ 4 ชาญก็เข้าศึกษาต่อในชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่โรงเรียนสันติราษฎร์บำรุง ซึ่งแม่ก็ยังคงให้เงินมาโรงเรียนเหมือนเดิมแต่ไม่เคยใช้ชาญ เล่าว่า ตอนนั้นเริ่มปั่นจักรยานได้แล้วก็เริ่มทำงานส่งหนังสือพิมพ์เริ่มตั้งแต่ตี 5 จนถึง 6 โมงเช้า พอส่งหนังสือพิมพ์เสร็จก็ปั่นจักรยานกลับบ้านอาบน้ำไปโรงเรียนเป็นอย่างนี้ทุกวัน

ขณะที่ช่วงเย็นหลังเลิกเรียนก็จะไปเดินแถวสำเพ็ง พาหุรัด เพื่อไปเดินดูสินค้าต่างๆ และหาซื้อของเพื่อไปขายในวันเสาร์และอาทิตย์ ซึ่งเป็นตลาดนัด โดยสมัยก่อนตลาดนัดวันเสาร์และอาทิตย์จะอยู่ที่สนามหลวง ซึ่งสินค้าที่ซื้อมาขายก็จะเป็นผ้าเช็ดหน้าและถุงเท้า เป็นต้น

“ผมไปขายของที่สนามหลวง ช่วงหลังเลิกเรียนวันพฤหัสบดี วันศุกร์ผมก็จะไปเดินดูเขาแบ่งล็อกขายของก่อนว่าเป็นอย่างไร และก็พบว่าสมัยนั้นที่สนามหลวงมีการแข่งว่าวปักเป้า ว่าวจุฬา จะมีไก่ย่าง และมีของขายเยอะมาก แต่ที่พบเยอะมากในช่วงเวลานั้นคือ คนไปเช่าจักรยานมาขี่ ซึ่งผมก็เข้าไปถามเขาว่าให้เช่าอย่างไร ราคาชั่วโมงละเท่าไหร่ และก็ได้แนวคิดมาว่า ถ้าเรามีจักรยานให้เขาเช่าจะเป็นรายได้ที่ดีมาก หลังจากนั้นรายได้ที่มาจากการขายของที่สนามหลวงก็เก็บสะสมมาเรื่อยๆ เพื่อนำมาซื้อจักรยานให้คนที่มาสนามหลวงได้เช่า” ชาญ กล่าว

ต่อมาชาญก็ปิ๊งไอเดียอีก 1 อาชีพ นั่นก็คือ การเก็บค่าเข้าชมทีวีเพราะหากย้อนกลับไปช่วงต้นของปี 2500 ทีวี ถือเป็นอะไรที่ใหม่และทันสมัยมากสำหรับคนในยุคนั้น ถ้าบ้านไหนมีทีวีถือว่าเท่และมีฐานะอย่างมาก และด้วยสายเลือดนักธุรกิจที่มีอยู่ในตัว ชาญจึงเปลี่ยนผ่านสู่การเป็นเจ้าของโรงมหรสพขนาดย่อม ด้วยการซื้อทีวีมาเปิดเก็บค่าบริการรับชม

หลังจากบ้านเราเริ่มมีทีวีจอตู้เข้ามา ซึ่งช่วงนั้นรู้สึกว่าจะมีออกอากาศแค่ 2 วัน เริ่มตั้งแต่ 5 โมงเย็นถึง 2 ทุ่ม ตอนนั้นคนที่จะมีทีวีดูน้อยมาก มีเพียงไม่กี่บ้าน คนที่จะมีทีวีได้ต้องมีฐานะเท่านั้น ซึ่งช่วงนั้นผมก็มีจักรยานให้คนเช่าน่าจะตก 20 คัน เงินที่เก็บค่าเช่าได้ก็ไม่ได้ก็เอาไปซื้อจักรยาน ส่วนที่เหลือก็เอาไปซื้อทีวีเปิดเป็นมินิเธียเตอร์ ด้วยการไปเช่าห้องแถวย่านประตูน้ำบริเวณชั้นล่าง จ้างคนมาติดผ้าม่านต่อม้านั่ง 4-6 แถว พอได้เวลา 5-6 โมง ก็เก็บตังค์ค่าเข้าคนที่จะเข้ามาดูทีวี โดยแบ่งราคาออกเป็น 2 โซน ด้านหน้าใกล้ทีวีเก็บ 50 สตางต์ ด้านหลังเก็บ 25 สตางค์

ช่วงแรกที่เปิดให้บริการ ชาญ บอกว่า คนไม่เยอะ โดยเฉพาะวันธรรมดา พอคนไม่เยอะลูกค้าที่เข้ามาดูทีวีก็นั่งดูแบบสบายๆ แต่ถ้าวันเสาร์-อาทิตย์ คนเริ่มเยอะก็อาจจะนั่งเบียดกันเล็กน้อย ซึ่งเป็นผลตอบรับที่ดี เพราะทีวีในสมัยนั้นเป็นอะไรที่ตื่นตาตื่นใจมาก จึงทำให้ชาญต้องเพิ่มแถวที่นั่งมากกว่า 10 แถว เพื่อรองรับลูกค้าที่จะเข้ามาดูทีวี 

ธุรกิจต่อมาที่ชาญเลือกนำมาเป็นประสบการณ์ชีวิตคือ การเป็นเจ้าของโต๊ะปิงปอง โต๊ะเตะโกลด์ ซึ่งรูปแบบของการทำธุรกิจก็ยังเหมือนเดิมคือ การเก็บค่าเช่า โดยในส่วนของธุรกิจดังกล่าวเริ่มต้นด้วยการซื้อโต๊ะปิงปองเก่ามาปรับปรุง เพราะถ้าซื้อใหม่เลยราคาจะสูง ซึ่งในช่วงเริ่มต้นธุรกิจชาญ บอกว่า เริ่มแค่เพียง 1 โต๊ะเท่านั้น แต่พอผลการตอบรับดีมีการขยับขยายธุรกิจไปมากกว่า 50 โต๊ะ

ชาญ เล่าต่อว่า หลังจากหารายได้มาพักใหญ่ก็คิดกลับไปเรียน เพราะเพื่อนๆ ที่อยู่ในวัยเดียวกันอยู่ ม.ศ.3 ม.ศ.4 และ ม.ศ.5 แล้ว ซึ่งโรงเรียนที่เลือกคือ โรงเรียนเซเว่นเดย์แอดเวนติส หลักสูตรเหมือนโรงเรียนอินเตอร์ที่ชาญอยากเรียนแต่เข้าไปเรียนไม่ได้ เพราะถือบัตรประชาชนไทย 

ช่วงที่กลับมาเรียน ชาญก็เล่นดนตรีควบคู่ไปด้วย เพื่อเป็นการหารายได้เสริม ซึ่งช่วงที่เล่นดนตรีก็ต้องไปเช่าดนตรี 800-1,200 บาท ถ้างานเล็กหน่อยค่าเช่าก็จะอยู่ที่ประมาณ 800-1,000 บาท ชาญจึงเล็งเห็นโอกาสทางธุรกิจ ด้วยการใช้เงินเก็บที่มีไปซื้อเครื่องดนตรีมาให้เพื่อนในวงได้เช่า เนื่องจากค่าตัวในการเล่นดนตรีได้แค่ครั้งละประมาณ 70 บาท

หลังจากสะสมประสบการณ์ด้านการเล่นดนตรีมีพักใหญ่ ชาญก็ผันตัวเองไปเปิดบาร์ของตัวเองที่ จ.อุดรธานี ทำไประยะหนึ่งก็เกิดน้ำท่วมใหญ่ที่อุดรธานี ทำให้ต้องฝ่าฟันอุปสรรค ซึ่งหลังจากฝ่าฟันมาได้ก็กลับมากรุงเทพฯ และเริ่มต้นใหม่กับงานด้านก่อสร้าง ด้วยการเข้าไปเรียนรู้งานกับอากู๋ ซึ่งชาญบอกว่าเป็นครั้งแรกที่ทำงานกินเงินเดือน

ช่วงแรกที่ไปทำงานกับอากู๋ ไม่รู้อะไรเลย พอไปถึงวันแรก อากู๋ก็ให้เป็นโฟร์แมนคุมงานทันทีเลย ซึ่งเราก็ยังไม่รู้อะไรเลยในตอนนั้น ซึ่งทุกวันนี้ยังจำเหตุการณ์วันนั้นได้ตื่นเช้าตี 5 ให้ไปดูงานตบดิน เทลาง ตอนนั้นก็ยังไม่เข้าใจว่าตบดินคืออะไร ตบเพื่ออะไร แต่เนื่องจากคนงานมีเป็นจำนวนมาก เราไม่รู้ก็ไม่ได้ งงอยู่พักหนึ่ง ก็ใช้วิธีเรียนรู้และสังเกตการทำงานจากคนงาน

เวลาผ่านไป 8 เดือน สำหรับการทำงานก่อสร้าง ชาญ บอกว่า ร่างกายเริ่มไม่ไหว เนื่องจากเคยใช้ชีวิตกลางคืนนอนตี 4 ตี 5 ตื่น 10 โมง หรือ 11 โมง กลางคืนก็อยู่กับแสง สี เสียง แต่พอมาทำงานก่อสร้างต้องตื่นตี 5 อยู่หน้าไซต์งานเลยทำให้ร่างกายปรับสภาพไม่ทัน

“จริงๆ แล้วคนงานจะเริ่มทำงานในเวลา 8 โมง แต่ผมจะถึงไซต์งานประมาณ 6 โมง เพราะต้องไปตลาดไปซื้อโจ๊ก ปลาท่องโก๋ ซื้อบุหรี่ ซื้อมะขาม ซื้อเหล้าไปให้กับคนงาน ซึ่งในส่วนของมื้อเช้าก็จะเป็นปลาท่องโก๋ กาแฟไปให้บรรดาหัวหน้าช่างไม้ หัวหน้าช่างปูนที่เซียนๆ ทั้งหลายให้มากิน แล้วก็หลอกถามว่างานที่สั่ง เช่น เทปูเรียบร้อยหรือไม่ เทไปหนากี่เซนฯ ไม้หน้า 3 เป็นอย่างไร เทครบทำครบหรือเปล่า ส่วนตอนเย็นกว่าผมจะได้กลับบ้านก็เกือบ 2 ทุ่ม เพราะช่วง 5-6 โมงเย็น ผมต้องเอาเหล้า บุหรี่ มะขามไปให้คนงานกิน พอคนงานเมาก็จะพูดหมด ผมก็ใช้วิธีจำเอา ซึ่งก็ใช้เวลาประมาณเดือนกว่าๆ ก็เรียนรู้เนื้องานได้ทั้งหมด” ชาญ ระบุ

ชาญ เล่าต่อว่า พอรู้เรื่องงานก่อสร้างต่อมาก็ต้องเรียนรู้เรื่องแบบ เรื่องพิมพ์เขียว หลังจากนั้นก็ผันตัวเองเข้าสู่ธุรกิจอิมพอร์ตเอ็กซ์พอร์ต จนทำให้มีโอกาสเดินทางไปต่างประเทศ ซึ่งเวลาต่อมาก็ได้ก้าวเข้าสู่ธุรกิจอัญมณีตามรอยเพื่อนที่เคยเรียนในโรงเรียนเซเว่นเดย์มาด้วยกัน หลังจากค้าเพชรและพลอยจนพอมีเงินเหลือเก็บมาพอสมควร ชาญก็ทำธุรกิจด้านไฟแนนซ์รถ ซื้อขายที่ดินควบคู่ไปด้วย ส่วนธุรกิจดีลเลอร์รถยนต์เกิดขึ้นหลังจากบุตรชาย (วิจักษณ์ เลิศประเสริฐภากร) กลับจากศึกษาต่อจากต่างประเทศแล้วอยากทำธุรกิจด้านจำหน่ายรถ ช่วงแรกที่บุตรชายเสนอโปรเจกต์ ไม่ค่อยเห็นด้วย แต่เมื่อบุตรชายอยากทำเลยยอมให้ทำในสิ่งที่ชอบ มีตัวเองเป็นแบ็กอัพ

ขอยกให้เป็นนักบริหารอีกคนที่ชีวิตผ่านการทำธุรกิจมาหลากสีสันกว่าจะมีวันนี้

ข่าวล่าสุด

SCB WEALTH กวาด 6 รางวัลระดับโลก สะท้อนความเป็นเลิศในทุกมิติการบริหารความมั่งคั่ง