posttoday

มุมมอง...วิทยา แก้วภราดัย ‘การเลือกตั้งต้องปราศจากอำนาจเงิน’

25 ตุลาคม 2558

จากจุดยืน “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” ที่เป็นชนวนให้ต้องตัดสินใจลาออกจากการเมืองในระบบที่ได้รับความไว้วางใจ

โดย...ธนพล บางยี่ขัน   สุวนันท์ มั่นศรี

จากจุดยืน “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” ที่เป็นชนวนให้ต้องตัดสินใจลาออกจากการเมืองในระบบที่ได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้แทนมานานกว่า 27 ปี เพื่อออกไปเคลื่อนไหวการเมืองบนถนนร่วมกับมวลมหาประชาชนร่วม 7 เดือน กระทั่งเข้าสู่โหมดรัฐประหารเกือบ 2 ปี การปฏิรูปก็ยังเดินไปไม่ถึงเป้าหมาย

วันนี้เขาหวนคืนสภาอีกครั้งกับบทบาทสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ในสัดส่วนตัวแทนจาก คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) วิทยา แก้วภราดัย ​ซึ่งเวลาพ่วงอีกหนึ่งสถานะเป็นกรรมาธิการยกร่างข้อบังคับการประชุม สปท.ให้สัมภาษณ์พิเศษ “โพสต์ทูเดย์” ถึงเป้าหมายการขับเคลื่อนการปฏิรูปให้เห็นเป็นรูปเป็นร่าง ตลอดจนแนวทางการทำงานในช่วงอีก 20 เดือนนับจากนี้

​​วิทยา อธิบายว่า จากที่หารือกัน กปปส.เห็นว่ามีความจำเป็นต้องเข้ามาร่วมขับเคลื่อนการปฏิรูป เพราะ กปปส.เคยบอกสังคมไว้แล้วว่าจะทำเรื่องการปฏิรูป จึงต้องมาร่วมผลักดัน โดยเฉพาะการปฏิรูปการเมือง แต่ต้องยอมรับว่า สปท.ไม่ใช่สภา ไม่มีอำนาจเหมือนสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) หรือสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)​ แต่ สปท.เป็นสภาที่มีภารกิจ แต่ไม่มีอำนาจ จึงเป็นสิ่งแปลกใหม่ ไม่มีกำหนดเวลาดำรงตำแหน่ง แต่รู้กันว่าทำงานแค่รัฐบาลชุดนี้ หรือก่อนการเลือกตั้งเท่านั้น

ฉะนั้นภารกิจต้องเสร็จก่อนการเลือกตั้ง งานของ สปท.ไม่ใช่งานที่ศึกษาไปเรื่อยๆ จากที่ถกกันในกรรมาธิการ (กมธ.) ร่างข้อบังคับฯ ธงส่วนใหญ่ต้องการให้ตั้ง กมธ. เพราะทุกคนจะได้รู้สึกว่ามีงานทำ แต่คนที่เคยผ่าน สปช.มาแล้วจะรู้สึกว่าการเป็น กมธ.จะทำให้การรับรู้การปฏิรูปต่ำไปด้วยซ้ำ เพราะทุกคนมัวแต่ชุลมุนกับการประชุม กมธ. และมีเรื่องเข้ามามากมายแตกแขนงไปเป็นหลายประเด็น จนต้องประชุม ทำให้ได้ติดตามการปฏิรูป​

“พอได้ยินคำว่า สภา ก็มีคนติดรูปแบบว่าต้องมีกรรมาธิการ คือไปติดกับที่สภาผู้แทนฯ เคยทำ แต่ สปท.ไม่ใช่สภาที่มีอำนาจใดๆ ทั้งนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ มีหน้าที่แค่หาข้อเสนอแนะในการปฏิรูปประเทศ ก่อนรัฐบาลนี้ครบวาระ ฉะนั้นต้องเข้าใจองค์กรและภารกิจขององค์กรก่อน สิ่งที่ผมอยากเห็นคือต้องมีแนวคิดและวิธีที่ปฏิบัติการได้อย่างเป็นรูปธรรมให้กับคนที่รับผิดชอบไปดำเนินการ

...ผมไม่อยากตกหล่มสภาผู้แทนฯ ที่ต้องมี กมธ.10 คณะ  อนุ กมธ. 50-60 คณะ ไปกวาดต้อนกันมาประชุม มีเรื่องที่สรุปออกมา 300 กว่าเรื่อง แล้วจะเป็นการปฏิรูปได้อย่างไร ในใจคิดว่าหาก สปท.อยากตั้งกรรมาธิการก็ได้ เป็นกรรมาธิการวิสามัญ โดยคิดว่าเรื่องไหนจำเป็นก็ไปศึกษาโดยมีระยะเวลากำหนดชัดเจนอาจ 3 หรือ 6 เดือน หรือ 1 ปี

คิดว่าระยะเวลาเท่านี้ก็สามารถลงรายละเอียดได้ โดยถ้าทำเสร็จสักเรื่องก็ถือเป็นการปฏิรูปได้ เพื่อเป็นมติของสภาสรุปไปยังรัฐบาลให้องค์กรอื่นๆ ปฏิบัติตาม เช่น การเลือกตั้ง ต้องมีวิธีที่สามารถล็อกได้ว่าต้องมีคนสุจริตและเที่ยงธรรมเข้ามา แต่ถ้ามีการทุจริตก็คงไม่มีประโยชน์”

วิทยา มองว่า การเลือกตั้งครั้งหน้าต้องแตกต่างจากการเลือกตั้งที่ประเทศเผชิญหน้ามากว่า 40 ปีเต็มๆ สปท.ชุดนี้ต้องทำงานให้จบก่อนการเลือกตั้ง ทั้งแนวคิดและวิธีที่จับต้องได้ ซึ่งคนที่ไม่ใช่ กมธ.​​ก็ต้องเป็นสภาที่ศึกษาเพื่อออกมติให้ถูกต้อง ทุกคนจึงต่างต้องมีหน้าที่ เรื่องใดที่ควรทำให้เสร็จพร้อมรัฐธรรมนูญ ก็ต้องคิดให้ออก ส่งไปยังคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ภายในเดือน พ.ย. ​

สำหรับรายละเอียดการทำงานของ สปท.นั้นไม่ต้องเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด เพราะมีสิ่งที่ สปช.ทำงานไว้แล้ว แค่เอามาต่อยอด และไม่ต้องทำทุกเรื่อง แต่ต้องทำเรื่องที่จะเป็นประโยชน์ในการแก้ปัญหาโครงสร้าง ซึ่งควรจะต้องเร่งทำเรื่องที่เห็นว่าสำคัญให้เสร็จก่อน อาทิ 1.การปราบปรามทุจริตคอร์รัปชั่น 2.การเลือกตั้งที่สุจริตเที่ยงธรรม 3.การปรองดอง 4.การบังคับใช้กฎหมายที่เป็นธรรม 5.วัฒนธรรมของสังคม รวมถึงเรื่องการศึกษา

“อย่างการเลือกตั้งต้องทำให้สุจริตให้ได้ ปราศจากอำนาจเงิน ถือว่าทำยาก แต่ต้องทำให้คนสามารถเลือกตั้งโดยรักและศรัทธาจริงๆ ไม่ใช่เป็นการเลือกและแบ่งปันผลประโยชน์กัน ​รวมไปถึงองค์กรต่างๆ อย่างคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ต้องปรับอย่างไร แต่อย่าไปติดล็อกเรื่องการเลือกตรงหรือเลือกตั้งอ้อมก็เป็นส่วนเสริมสร้าง ซึ่งเป็นหน้าที่ของ สปท.ที่จะไปมีส่วนช่วยค้นหาคำตอบตรงนี้ด้วยต่อจากที่ สปช.ทำไว้ 

...ที่ผ่านมา มองว่าประชาธิปไตยคือการเลือกตั้ง แต่คนซื้อเสียงก็ชนะหมด จากที่เคยเป็น กปปส. สื่อต่างประเทศถามว่าไปล้มรัฐบาลเลือกตั้งทำไม ผมก็บอกว่าทุจริต เขาก็บอกว่าทุจริตต้องปราบด้วยสภา นั่นคือประชาธิปไตยในสายตาตะวันตก ผมบอกว่ารัฐบาลมีการซื้อเสียง เขาก็ส่ายหัวว่าไม่มีทาง คนซื้อเสียงชนะไม่ได้ และคนไทยเชื่อไหม ทุกคนต่างเชื่อหมดว่ารัฐบาลซื้อเสียง ทางออกจึงต้องออกถนน อย่างทุกวันนี้จะเห็นว่ามีคนเชียร์รัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร” 

วิทยา อธิบายว่า ในส่วนการปฏิรูปการบังคับใช้กฎหมายให้เป็นธรรม ต้องดูเลยว่าแก้ตรงไหนได้บ้าง เริ่มต้น​คือตำรวจ ต้องผ่าสำนักงานตำรวจอย่างไร สอบสวน สืบสวน ปราบปราม จะเอาอย่างไรกับสำนักงานตำรวจที่เทอะทะ ต้องไล่ดูทุกหน่วยงานทั้งตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ตำรวจน้ำ ตำรวจรถไฟ ตำรวจทางหลวง​ ตรงไหนที่ไม่ใช่ภารกิจเอาออกไปทำหน้าที่ให้ชัดเจน ต้องเกลี่ยหัวใจงานจริง เอาหลักจากที่ ร.4 ตั้งตำรวจตระเวนบ้านกับตำรวจตระเวนนครบาล สองอย่างนี้นี่ก็คือหัวใจของตำรวจเมื่อเริ่มต้น 

นอกจากนี้ ยังต้องไปดูกระบวนการหลังศาล ​ทั้งราชทัณฑ์ กรมบังคับคดี กรมคุมประพฤติ ส่วนตุลาการก็ให้เขาเสนอแนะมา เพราะเขาเป็นองค์กรที่มีจารีตแข็งที่สุด ต่างจากตำรวจ ซึ่งการปฏิรูปตำรวจแม้จะมีความพยายามมานานแต่ก็ไม่ง่าย เพราะการปฏิรูปคนถือปืนนั้นทำได้ยาก แต่ก็ต้องทำให้ได้ ฉะนั้น วินัยและคุณธรรม จึงสำคัญตั้งแต่การศึกษาเป็นเริ่มต้น ในส่วนของกฎหมายก็ต้องศึกษากันต่อไปว่าต้องแก้ไขหรือรื้ออย่างไร ​

ถามถึงจุดยืนของ กปปส.​เรื่อง “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง”  ในฐานะที่เข้ามาทำหน้าที่ผลักดันการปฏิรูปต้องทำเรื่องไหนให้เสร็จถึงจะเดินหน้าสู่การเลือกตั้งได้ ​วิทยา ตอบว่า เรื่องทุจริต และ​เรื่องเลือกตั้งสุจริตเที่ยงธรรม ไม่มีการทุจริต ซื้อเสียง ถ้าออกมาตรการได้ก็พร้อมเลือกตั้ง ถ้าไม่ได้ ก็รู้อยู่แล้ว เลือกตั้งแล้วเหมือนเดิม ถือเป็นเรื่องใหญ่ ควรทำให้เสร็จก่อน อย่าปล่อยให้ลงสนามเลือกตั้งแล้วคนจนแพ้คนรวย

จะเลือกตั้งทางตรงหรือทางอ้อมก็ต้องไปคิดต่อไป เพราะการเลือกอย่างเดียวอาจไม่ได้คนดี มันมีอุปสรรค คนดีๆ ไม่กล้าลงสมัคร กลัวแพ้ ที่ผ่านมาก็มีการสรรหา แต่ถ้ามันผ่านระยะของการเลือกตั้งสุจริต การสรรหาก็ไม่จำเป็น ตรงนี้เป็นระยะเปลี่ยนผ่าน

“หากทำ 2 เรื่องนี้สำเร็จ ทั้งเรื่องการเลือกตั้งสุจริตและป้องกันทุจริต จะทำให้สังคมเปลี่ยนไปเยอะ สามารถเห็นหน้าเห็นหลัง แค่รัฐบาลนี้ประกาศเดินหน้าปราบทุจริตจริงๆ​ ก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลง เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ถามว่ายากไหมก็ยาก แต่ก็คาดหวังว่าจะทำได้ เพราะหมดหวังเมื่อไรผมก็เดินออก

ผมเดินมาเยอะแล้ว เดินออกก็เคย ฉะนั้นการเดินออกง่าย ผมมีความหวังว่าต้องทำให้ได้ แต่ถ้ารู้ว่าทำไม่ได้จริงก็เดินกลับ เรายืนอยู่บนความถูกต้องไม่ว่าจะมีกี่เสียงก็ต้องทำไป เราเดินมาไกล 200 กว่าวันยังเดินได้ เดินอีก 20 เดือนในสภาก็เดินได้ แต่ก็ไม่อยากให้มีใครออกมาเดินอีก อยากให้ทุกอย่างจบในยุคนี้  รุ่นผมเดินกันมาตั้งแต่อายุ 18 ไม่อยากให้เป็นภาระรุ่นลูกต่อไป คนล้มตายบาดเจ็บมาพอแล้ว ดังนั้นต้องทำให้จบ” วิทยา กล่าว

ถ้าจะเจรจาปรองดอง...ต้องคุยกับทักษิณเท่านั้น

ประเด็นใหญ่ที่หลายคนกำลังจับตาดูเป็นพิเศษ คือ เรื่อง “ปรองดอง” วิทยาเห็นว่า ประเด็นแรก ถ้ามีกระบวนการยุติธรรมไม่สองมาตรฐาน สังคมนี้ก็จะมีวินัยขึ้นมา แต่ถ้ากระบวนการยุติธรรมไม่สองมาตรฐานปมโต้แย้งก็จะจบลงประเด็นที่สอง ถ้าจะคิดปรองดองเฉพาะหน้า ระหว่าง กปปส.กับเสื้อแดง ระบอบทักษิณกับประชาธิปัตย์ เพื่อไทยกับประชาธิปัตย์ กลุ่มเผาบ้านเผาเมืองกับกลุ่มปิดถนน ก็ต้องมาดูกรอบกันว่าจะเอาอย่างไร

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของคดีต้องมีกรอบว่า คดีไหนที่สังคมให้อภัยได้หรือไม่ได้ ส่วนตัวเคยอภิปรายในสภาช่วงออกกฎหมายนิรโทษกรรมว่า อย่างการฆ่าคนซึ่งไม่สามารถเขียนให้ใครฆ่ากันได้ คดีทุจริต คดี 112 ใครทำผิดต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม แต่ใครที่คิดหรือกระทำขัดแย้งก็มาเข้าสู่กระบวนการปรองดองกัน อย่างที่ปิดถนน สนามบินเผาศาลากลาง ส่วนตัวคิดว่ามีกรอบของมันอยู่ ในอดีตก็เคยมีตั้งแต่สมัยนักศึกษาเผากองสลากฯ ที่เคยนิรโทษเพราะไม่ได้จับใคร ไม่มีหลักฐาน ไม่เหมือนตอนนี้ที่ถ่ายรูปไว้ได้หมด

ในฐานะที่ผ่านรอยต่อช่วงความขัดแย้งทางการเมืองมาตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาฯ 19 วิทยา วิเคราะห์ว่า ความขัดแย้งในอดีตเป็นเพียงทางความคิดและอุดมการณ์ แต่ในปัจจุบันเป็นเรื่องของการทุจริตและหาผลประโยชน์ซึ่งประนีประนอมยาก ได้เสียก็มาแบ่งปันกัน ดีที่สุดคือต้องไม่ให้การปฏิวัติครั้งนี้เสียของ ต้องทำให้จบ หากประเมินแล้วก็พอที่ประชาชนจะฝากความหวังได้ ซึ่งถือว่ายุคนี้เป็นยุคเผด็จการที่พูดง่ายกว่าเดิม ขอเพียงแต่อย่าทำผิดกฎหมาย

ข้อเสนอที่ต้องการให้ทุกพรรคทุกกลุ่ม ทุกสี มาเจรจากันเพื่อเริ่มต้นกระบวนการปรองดองนั้น วิทยา กล่าวว่า อยากให้ทักษิณ ชินวัตร มาคุยด้วย เพราะหากเป็นคนอื่นมาคุยอย่างไรก็ไม่จบ แต่ต้องเอาตัวจริงมาคุย เพราะพรรคก ารเมืองที่มีเจ้าของ คุยกับคนอื่นไม่ได้ ต่างจากพรรคประชาธิปัตย์ที่ฟัดกันได้ เพราะไม่มีเจ้าของเป็นนายทุนใหญ่

ดังนั้น ถามว่า หากพรรคเพื่อไทยส่งตัวแทนมาเจรจาวันนี้จะจบไหม ก็ไม่จบ อย่าง สปท.จะมีตัวแทนจากหลายสีหลายพรรค แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะนำไปสู่การปรองดองได้ง่าย เพราะที่เจอหน้ าคุยกัน ก็กินกาแฟกันได้ ไม่ได้โกรธกัน แต่ถ้าหากเขาโทรศัพท์ไปหาลูกพี่ใหญ่ก็อาจจะมีปัญหากัน กลับมาคุยกันไม่รู้เรื่องกัน นี่คือความจริงที่เจอมา 10 ปี

ถามว่า คู่ ขัดแย้งที่เป็นต้นตอของวิก ฤตคื อใคร วิทยา ตอบทันทีว่าทักษิณ กับสังคมไทย เพราะทักษิณขัดแย้งกับ ทุกสถาบัน หากจะใช้การเจรจาก็ต้องให้ทักษิณกลับมาเจรจา ที่ผ่านมาเคยมีการเจรจาหลายครั้ง แต่ก็ไม่สำเร็ จ เคยเจรจาทั้งกับ จตุพรพรหมพันธุ์ วีระกานต์ มุสิกพงศ์ เหมือนจะคุยรู้เรื่อง แต่พอเขากลับไปยกโทรศัพท์คุยกับคนข้างหลังทุกอย่างก็เปลี่ยนหมด

วิทยา อธิบายว่า รูปแบบการเจรจารอบที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังเป็น ผบ.ทบ. เรียกแต่ละฝ่ายไปหาทางออกนั้น ก็เหมือนกับรูปแบบย่อยของคณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปและการปรองดองแห่งชาติ (คปป.) คือองค์กรที่ไม่มีอำนาจ แต่เรียกฝ่ายที่มีอำนาจ ฝ่ายบริหาร ตุลาการ นิติบัญญัติมานั่ง สุดท้ายแล้วปฏิวัติ คปป.ที่จะเขียนใหม่ เพราะเมื่อไม่มีทางออกก็ต้องใช้วิธีนี้ ต้องมีองค์กรที่ออกมากำหนดให้รัฐบาลหยุดปฏิบัติหน้าที่ ตรงนี้นักประชาธิปไตยรับไม่ได้ แต่โดนมาแล้ว

สมัย พล.อ.ประยุทธ์ ไม่มีอำนาจทางกฎหมายสั่งให้รัฐบาลลาออกได้ เลยต้องปฏิวัติ แต่หากกลัวว่า คปป.จะมายุ่งกั บการบริหารราชการแ ผ่นดินก็ไปกำหนดใ ห้ละเอียด สิ่งนี้ บวรศักด์ิอุวรรณโ ณ สรุปบทเรียนจากสิ่งที่เกิดขึ้น สมัย กปปส. ยึดอำนาจ 4-5 รอบ แต่ไม่มีปืน ประกาศเป็นรัฏฐาธิปัตย์ เรียกใครมารายงานตัวไม่มีใครมาสักคน ดังนั้นจำเป็นต้องมีองค์กรอะไรสักอย่างมาใช้กับรัฐบาลที่ดื้อด้าน หากกังวลเรื่องจะไปแทรกแซงอำนาจฝ่ายบริหารก็เขียนล็อกไว้ให้ชัดเจน

ข่าวล่าสุด

ประชาธิปัตย์เปิด100ชื่อผู้ผ่านด่านสส.บัญชีรายชื่อ เลือกตั้ง69