posttoday

4 เขื่อนหลัก งดส่งน้ำทำนาปรัง

19 ตุลาคม 2558

โดย...ทีมข่าวภูมิภาคโพสต์ทูเดย์

โดย...ทีมข่าวภูมิภาคโพสต์ทูเดย์

ตั้งแต่วันที่ 18 ต.ค.ที่ผ่านมา เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน ต.คันโช้ง อ.วัดโบสถ์ จ.พิษณุโลก นำร่องหยุดส่งน้ำเพื่อการเกษตรในพื้นที่ชลประทาน พร้อมลดการระบายน้ำออกจากวันละ 5 แสนลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) เหลือวันละ 2 แสน ลบ.ม. เพื่อกักเก็บน้ำไว้ 40% เป็นน้ำใช้การได้แค่ 35% เท่านั้นนันทชัย ตรีรุจิราภาพงศ์ หัวหน้าฝ่ายส่งน้ำที่ 1 โครงการส่งน้ำแควน้อยบำรุงแดน บอกว่า โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาเขื่อนแควน้อยบำรุงแดน ได้สิ้นสุดการส่งน้ำเพื่อการเกษตรในพื้นที่โครงการชลประทานจำนวน 1.5 แสนไร่ ขณะนี้พื้นที่ส่วนใหญ่ได้เก็บเกี่ยวและใกล้เก็บเกี่ยวหมดแล้วอย่างไรก็ตาม ได้ประสานงานกับท้องถิ่น อำเภอ ออกประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรในพื้นที่ได้รับทราบถึงสถานการณ์น้ำของเขื่อนแควน้อยบำรุงแดน เพื่อเตรียมรับมือกับสถานการณ์ภัยแล้งนับจากนี้ไปตลอดถึงฤดูฝนปี 2559 เนื่องจากปีนี้เขื่อนแควน้อยบำรุงแดนสามารถเก็บน้ำได้น้อยมาก ประมาณ 40% หรือมีน้ำใช้การได้ 35% หรือ 337 ล้าน ลบ.ม. จากความจุอ่างที่สามารถกักเก็บได้ 939 ล้าน ลบ.ม.

“นับจากวันที่ 18 ต.ค.นี้เป็นต้นไป เขื่อนแควน้อยบำรุงแดนมีแผนในการปรับลดการระบายน้ำลงอีก จากเดิมระบายน้ำออก 6 ลบ.ม./วินาที จะปรับลดการระบายน้ำเหลือ 2 ลบ.ม./วินาที เพื่อการบริหารจัดการน้ำในอีก 7 เดือนข้างหน้า” นนทชัย กล่าว เป้าหมายและแผนบริหารจัดการน้ำของกรมชลประทาน เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน เป็น 1 ใน 4 เขื่อนหลักของลุ่มน้ำเจ้าพระยา ที่ต้องบริหารจัดการน้ำร่วมกัน และเนื่องจากภาพรวมของปี 2558 มีต้นทุนน้ำที่ค่อนข้างต่ำ จึงมีแนวทางการบริหารจัดการน้ำเพื่ออุปโภคบริโภค รักษาระบบนิเวศเป็นประการแรก

ส่วนน้ำเพื่อการเกษตรนั้นมีไม่เพียงพอ ขณะนี้นอกจากออกประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรในพื้นที่ชลประทานทราบถึงสถานการณ์น้ำเพื่องดการทำนาปรังแล้ว ยังร่วมกับหลายหน่วยงานในการส่งเสริมการปลูกพืชใช้น้ำน้อยทดแทนการทำนาปรัง การทำอาชีพเสริมอื่นๆ การพักชำระหนี้ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เป็นต้น

ด้าน สุเทพ น้อยไพโรจน์ รองอธิบดีกรมชลประทาน บอกว่า ปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อนลดลงตามลำดับ โดยเฉพาะเขื่อนภูมิพล ปริมาณน้ำไหลเข้าเพียง 9 ล้าน ลบ.ม. เขื่อนสิริกิติ์ 20 ล้าน ลบ.ม. เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน ประมาณ 4 ล้าน ลบ.ม. และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ 25 ล้าน ลบ.ม. รวมมีปริมาณน้ำใน 4 เขื่อนหลักของลุ่มน้ำเจ้าพระยา รวมประมาณ 3,900 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งไม่เพียงพอสำหรับการปลูกข้าวนาปรัง เนื่องจากน้ำที่มีในขณะนี้เป็นน้ำที่เหลือตามแม่น้ำลำคลองในปริมาณน้อย

“กรมชลประทานต้องบริหารให้เพียงต่อการอุปโภคบริโภคและรักษาระบบนิเวศเท่านั้น ทำให้มีน้ำใช้ในปริมาณจำกัด โดยได้ลงพื้นที่ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้กับหน่วยงานต่างๆ เพื่อให้เกษตรกรปรับตัวและพิจารณาตัดสินใจ ให้ความร่วมมือในการเพาะปลูกพืช หรือทำกิจกรรมที่ใช้น้ำน้อยอย่างเหมาะสม” สุเทพ กล่าว

สำหรับการดำเนินการระดับพื้นที่ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มอบหมายให้ศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจแก้ไขปัญหาภัยแล้งระดับจังหวัดลงพื้นที่ชี้แจงผลกระทบและมาตรการช่วยเหลือภาครัฐ ระหว่างวันที่ 9-22 ต.ค.นี้เพื่อสร้างการรับรู้ให้เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบใน 22 จังหวัดลุ่มน้ำเจ้าพระยา รวมประมาณ 195,311 ราย

ขณะที่ ฎรงค์กร สมตน ผู้อำนวยการสำนักงานชลประทานที่ 12 เขื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาท ได้ลงนามในหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัด 7 จังหวัดในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ประกอบด้วย จ.ชัยนาท อุทัยธานี สิงห์บุรี อ่างทอง สุพรรณบุรี ลพบุรี และพระนครศรีอยุธยา

ทั้งนี้ ได้แจ้งเตือนว่า ปัจจุบันมีปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยา 726 ลบ.ม./วินาที และคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นในเกณฑ์ 900 ลบ.ม./วินาที ซึ่งจะส่งผลให้ระดับน้ำท้ายเขื่อนสูงขึ้นอีก 30-50 ซม. ตั้งแต่ จ.ชัยนาท ลงไปถึงพระนครศรีอยุธยา

นอกจากนี้ น้ำส่วนหนึ่งกรมชลประทานจะทำการผันออกทางทุ่งตะวันออกพื้นที่ จ.ลพบุรี และทุ่งตะวันตก จ.สุพรรณบุรี ซึ่งจะทำให้ระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นด้วย เกรงว่าเกษตรกรจะเข้าใจผิดเห็นว่าปริมาณน้ำมีมากและเริ่มทำนาปรังกัน ขอเตือนว่าปริมาณน้ำยังคงมีไม่เพียงพอที่จะหล่อเลี้ยงต้นข้าวที่มีอายุถึง 4 เดือน จนถึงการเก็บเกี่ยวได้อย่างแน่นอน เพราะได้สิ้นสุดฤดูฝนแล้ว

ปัจจุบันน้ำจากเขื่อนต่างๆ ที่กรมชลประทานกักเก็บไว้ยังอยู่ในปริมาณที่น้อย ไม่สามารถสนับสนุนการเกษตรนอกฤดูได้ เพราะต้องสงวนไว้ใช้ในการอุปโภคบริโภค และนำไปหล่อเลี้ยงลำน้ำหลัก รักษาระบบนิเวศต่างๆ ทั้งต้องสำรองไว้ใช้หลังจากเดือน เม.ย. 2559 ไปแล้ว

ข่าวล่าสุด

ขนส่ง เตือน! รถติดถุงลมนิรภัยทาคาตะ เสี่ยงอันตรายถึงชีวิต เช็ก-เปลี่ยนฟรี