อาบัติของเณรแก้ว
หากจำกันได้เมื่อปี 2553 เราเคยมีกรณีเรียกร้องให้แบนหนังเรื่อง “นาคปรก” เพราะนำเสนอภาพลักษณ์ที่ดำมืดในวัดในวา
โดย...กรกิจ ดิษฐาน
หากจำกันได้เมื่อปี 2553 เราเคยมีกรณีเรียกร้องให้แบนหนังเรื่อง “นาคปรก” เพราะนำเสนอภาพลักษณ์ที่ดำมืดในวัดในวา มาปีนี้มีกรณีเรื่องอาบัติ
หนังเรื่องอาบัติทำให้ผมนึกถึงตอนหนึ่งของขุนช้างขุนแผน คือ ตอนพลายแก้วบวชเณร กับตอนพลายแก้วเป็นชู้กับนางพิม ซึ่ง “พีกสุดๆ” เป็นตอนที่ขุนแผนยังอยู่ในคราบเณรแก้วเกิดพิศวาสกับนางพิมถึงขนาด “...ไม่ขาดที่จะแลล่อไปต่อตา ...พอสบพักตร์เณรพยักให้ทันใด ...ด้วยน้ำใจผูกพันกระสันหา ...เชิญกระหยับมานี่เถิดสีกา” จากนั้นพ่อเณรก็ร้อนผ้าเหลืองคิดถึงแต่สีกาอยู่ท่าเดียว ส่วนสีกาโดนมนตร์ก็ให้ใจสั่นเร่าๆ เหมือนกัน
ต่อมาสองเรานัดพบกันโดยมีพี่สายทองเป็นแม่สื่อ ซึ่งเณรแก้วครึ้มหนัก รวบหัวรวบหางแม่สื่อเข้าให้ด้วยอีกคน พอนัดกันเสร็จสรรพพ่อเณรไปแอบสึกชั่วคราว แล้วก็พากันไปเล่นบทอัศจรรย์ที่กลางไร่ฝ้าย ดังบรรยายว่า “...ช้อนคางพลางจูบประคองชม แนบเนื้อแนบนมเจ้าผ่องใส พวยพุ่มตูมตั้งยังเป็นไต อาลัยลูบโลมทั้งกายา...” (อันนี้แค่เบาะๆ นะครับ บางสำนวนมีติดเรตกว่านี้อีก)
พอเสร็จบทอัศจรรย์เณรแก้วกลับไปขอศีลเป็นเณรอีก สึกเข้าสึกออกอยู่อย่างนี้ แล้วเข้าวัดแบบตัวเบาๆ แถมยังได้เมียมาเชยชม ถ้าเป็นสมัยนี้ได้ถูกถ่ายคลิปประจานไปแล้ว
ความบ้าระห่ำของเณรแก้วนั้นขอให้อ่านบท “พลายแก้วบวชเณร” จนถึง “พลายแก้วเข้าห้องนางสายทอง” เถิด แล้วท่านจะเข้าใจว่าหนังอาบัติยังเทียบไม่ติด
ฉากนี้มิตรสหายสายวรรณคดีมักเปรยกับผมอยู่บ่อยๆ ว่า เป็นฉากที่โรแมนติกที่สุดในวรรณคดีไทย แต่ใครที่เคร่งศาสนาอ่านแล้วอาจจะตาเหลือก ซึ่งนี่เป็นเหตุผลว่าทำไมขุนช้างขุนแผนถึงถูกเซ็นเซอร์ และชำระให้สะอาดเอี่ยมโดยนักปราชญ์ราชบัณฑิตที่รังเกียจเรื่องลามก ถ้าเป็นฉบับชาวบ้านจะอัศจรรย์พันลึกกว่านี้
ผมจะไม่วิจารณ์ความดีความชั่วหนังอาบัติ เพราะยังไม่เคยดู แต่หากถามว่าขุนช้างขุนแผนทำลายศีลธรรมอันดีหรือไม่? ต้องตอบว่า เฉพาะเณรแก้วน่ะใช่ แต่ความผิดไม่ได้ตกอยู่ที่วรรณกรรมชื่อขุนช้างขุนแผน ฉันใดก็ฉันนั้น
และในทางตรงกันข้าม พฤติกรรมอันโอหังบังอาจต่อผ้าเหลืองของเณรแก้วทำให้เราเข้าใจว่า ชาวพุทธไทยๆ นั้นมีทั้งเคร่งทั้งหย่อนเป็นธรรมดาสามัญ เณรแก้วพอสึกมารับราชการเป็นขุนแผน ยังไปทำอุบาทว์ในโบสถ์ หลังจากผ่าท้องนางนางบัวคลี่ ก็เอาลูกอ่อนออกมาแล้วย่าง พร้อมร่ายมนตร์ทำเป็นกุมารทองต่อหน้าพระประธานกันเลยทีเดียว
ใครอยากจะเข้าใจคนไทยสมัยก่อนถึงสมัยนี้ ต้องอ่านขุนช้างขุนแผนนะครับ รวมถึงผู้สร้างหนังด้วย จะได้สร้างผลงานที่ล้ำลึกออกมาได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าจะสร้างหนังเกี่ยวกับเรื่องไม่ดีงามในพระพุทธศาสนา ควรจะศึกษากฎพระสงฆ์ ในกฎหมายตราสามดวงด้วย ในนั้นมีหลายกรณีที่น่าตื่นตะลึงเลยทีเดียว ทั้งเสพกามเลี้ยงสีกา เทศน์ตลกคะนอง อวดอุตริ อาศัยผ้าเหลืองหากิน พระปลอมหลอกเอาเงินคน พระที่ขยันเรี่ยไรเป็น “โจรอันปล้นพระพุทธศาสนา” รวมถึงโยมที่มักง่ายให้เงินพระจนท่านเคยตัว พระที่ไปเหล่สาวเที่ยวสถานที่อโคจร และเจ้ากูที่ชอบฉันสุรายาเมา
ฟังแล้วเหมือนสมัยนี้ไหมครับ?
กลับมาที่หนังอาบัติ ส่วนตัวเห็นว่าไม่ควรจะกีดกันไม่ให้ฉาย รวมถึงหนังเรื่องอื่นๆ ก่อนหน้านี้ด้วย ควรให้ฉายโดยติดเรต จะดีจะชั่วประการใดสังคมจะตัดสินเอง ถ้ามันดี หมายความให้แง่คิดน่าสนใจมีเหตุผล ชาวพุทธก็ควรนำมาขบคิดต่อ เพื่อหาทางป้องกัน
หากมันเป็นหนังที่ใช้ไม่ได้ ไร้เหตุผล ก็แพ้ภัยตัวเองไป


