posttoday

มีชัยที่เห็น มีชัยที่เป็น

11 ตุลาคม 2558

ขอพักรัฐธรรมนูญข้าวนอกนาไว้ พูดถึงเรื่องใหญ่สักเรื่อง

โดย...ทวี สุรฤทธิกุล

ขอพักรัฐธรรมนูญข้าวนอกนาไว้ พูดถึงเรื่องใหญ่สักเรื่อง

คือเรื่องที่ท่านอาจารย์มีชัย ฤชุพันธุ์ “ยอมรับ” เป็นประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) “ฉบับแป๊ะขอมา” แม้จะไม่ผิดคาดของคอการเมืองที่พอจะเดาได้ว่า คสช.ต้องไปแนวนี้ และท่านอาจารย์มีชัยต้องมาแนวนี้ แต่ก็ยังน่าสนใจว่า “ทำไมต้องมีชัย”

มีทฤษฎีการดูคนที่ผู้เขียนเคย “ลักจำ” มาจากท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ครั้งที่ผู้เขียนยังเป็นเด็กสวนพลู ซึ่งใช้ศึกษาคนได้ดีมาก ที่อาจจะเรียกได้ว่า “ตำราโหงวเฮ้งฉบับซือแป๋สวนพลู” โดยท่านอาจารย์คึกฤทธิ์มีเทคนิคสำคัญในการ “ดูคน” ดังนี้

หนึ่ง “ตั้งใจฟังสิ่งที่เขารู้ ถามดูสิ่งที่เราสนใจ” ผู้เขียนสังเกตว่าถ้าท่านอาจารย์คึกฤทธิ์อยากจะรู้จักกับใครทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ท่านจะพยายามเป็นผู้ฟังที่ดี เริ่มจากการให้เกียรติผู้พูด สร้างความคุ้นเคยไม่ให้ประหม่า ซักถามในสารทุกข์สุกดิบตามธรรมเนียมไทย แล้วจึงคุยในสิ่งที่เขาอยากคุย จากนั้นค่อยถามสิ่งที่เราอยากรู้ ทำให้การคุยมีรสชาติและเกิดความสนิทสนมกัน

สอง “ตั้งวงข้าววงเหล้า นับเอาเป็นญาติ” ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์บอกว่า ถ้าเราอยากจะรู้จักใครให้ลึกซึ้ง ต้องใช้เวลาในการทำกิจกรรมร่วมกัน ที่ดีที่สุดก็คือ กินข้าวหรือท่องเที่ยวไปด้วยกัน เราจะได้เห็นบุคลิกภาพหรือนิสัยใจคอได้ละเอียดชัดเจน รวมถึงการให้ความชิดเชื้อถึงขั้นเป็นญาติกัน อย่างที่คนไทยชอบเรียกกันเป็นพี่ป้าน้าอา ก็เพื่อให้เกิดความไว้วางใจและคบกันให้นานๆ

สาม “เข้าถึงก้นครัว สืบตัวถึงบรรพบุรุษ” สุดยอดของการเรียนรู้คนไม่มีอะไรเกินไปกว่าการเข้าไปเห็นชีวิตความเป็นอยู่ของเขา อย่างที่ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์จะใช้เทคนิคนี้เวลาที่ท่านหาเสียง ทำให้ประทับใจชาวบ้านทุกระดับ และเหตุที่ท่านวิเคราะห์การเมืองได้ลึกซึ้งแม่นยำ ก็เพราะท่านรู้จักนักการเมืองจำนวนมาก “ดีมาก” ถึงขั้นรู้ถึงประวัติเทือกเถาเหล่ากอของคนเหล่านั้น ซึ่งก็ได้ข้อมูลเหล่านี้มาจากตัวเจ้าของ และจากคนที่รู้จักคนคนนั้น แล้วท่านก็มา “กรอง” ว่าอะไรจริงอะไรเท็จ โดยแยกระหว่าง “การเยินยอ” กับ “การให้ร้าย” ก็จะได้ความจริงเกี่ยวกับคนคนนั้น

ผู้เขียนเคยเขียนถึงท่านอาจารย์มีชัย ฤชุพันธุ์ มาแล้วครั้งหนึ่งตอนที่ท่านมีอายุ 6 รอบ เมื่อปี 2553 โดยญาติมิตรได้จัดงานให้ท่านที่โรงแรมแห่งหนึ่ง มีแขกเหรื่อและคนที่เคารพนับถือท่านไปร่วมงานจำนวนมาก เมื่อถึงตอนที่ท่านกล่าวขอบคุณผู้มาร่วมงาน ตอนหนึ่งท่านก็พูดทีเล่นทีจริงว่า ท่านไม่ค่อยมีชีวิตเป็นตัวของตัวเอง เพราะบ้านเมืองของเรามีปัญหาและหางานมาให้ท่านทำอยู่เรื่อย จึงคิดว่าเมื่อไหร่บ้านเมืองจะหมดปัญหา และท่านจะได้มีชีวิตส่วนตัวเสียที

ผู้เขียนรู้จักท่านอาจารย์มีชัยครั้งแรกในชีวิตในวันที่ 20 ก.ย. 2549 หลังการรัฐประหารโดยคณะ คมช.เพียง 1 วัน ตอนนั้นผู้เขียนเป็นประธานสาขาวิชารัฐศาสตร์ (คณบดี) ของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ตอนบ่ายวันนั้นผู้เขียนถูกเรียกให้ไปประชุมร่วมกับคณบดีนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยของรัฐ 4 แห่ง รวม 8 คน พอไปถึงกองบัญชาการกองทัพบกที่อยู่ตรงข้ามสนามมวยราชดำเนิน เขาก็ให้ขึ้นลิฟต์ไปที่ห้องประชุมเล็กๆ ในนั้นมีคนที่รู้จักอีก 8 คน คือคณะ คมช.ทั้ง 6 คน กับท่านอาจารย์มีชัยและท่านอาจารย์วิษณุ เครืองาม และมีคนที่ไม่รู้จักอีก 4-5 คน ส่วนหนึ่งแต่งกายพลเรือน ทราบภายหลังว่ามาจากคณะกรรมการกฤษฎีกา และอีกส่วนหนึ่งแต่งเครื่องแบบทหาร ก็คงจะเป็นฝ่ายเลขานุการของการประชุม เนื้อหาการประชุมวันนั้นก็คือ ให้พวกเราช่วยให้ความเห็นเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญชั่วคราวของ คมช.

ผู้เขียนได้มารู้จักกับท่านอาจารย์มีชัยมากขึ้นก็ตอนที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติในเดือน ต.ค.ถัดมา ภาพที่ท่านนั่งสงบเสงี่ยมในการประชุม คมช.เมื่อก่อนนั้นยังติดตา เพราะฉะนั้นในวันที่เลือกประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ผู้เขียนจึงอยู่ในฝ่าย “ไม่เอามีชัย” เพราะเชื่อว่าท่านกลัวทหารและรับใช้ทหาร (ที่ผู้เขียนได้เขียนกลอนปีใหม่ในปี 2550 แล้วตั้งฉายาท่านว่า “ท่านประธานฯ รถถังทับ”) ซึ่งผู้เขียนในช่วงนั้นก็ถือว่าเป็นนักเคลื่อนไหวที่มีเครือข่ายอยู่จำนวนหนึ่ง จึงอยากแสดงตัวตนว่าเราเป็น “นักวิชาการอิสระ”

จาก “มีชัยที่ได้ยิน” มาเป็น “มีชัยที่ได้เห็น” จึงรู้ว่าท่านมีฝีไม้ลายมือในการควบคุมและดำเนินการประชุมดีมาก อาจจะไม่ตลกพร่ำเพรื่อเหมือนประธานบางคน หรือสร้างภาพแข็งขัน หรือพยายามเอาใจสมาชิกมากไปอย่างประธานบางท่าน แต่การประชุมก็เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ที่สำคัญท่านเริ่มทำให้ความรู้สึกของพวกเราหลายๆ คนเปลี่ยนไป

ยิ่งได้ไปร่วมรับประทานอาหารและร่วมสัมมนาสัญจรไปในที่ต่างๆ ซึ่งโดยทั่วไปท่านอาจารย์มีชัยก็ไม่ใช่คนช่างคุย แต่จากที่ผู้เขียนได้ไปซักถาม เพื่อขอความรู้บ้าง หลอกถามในบางเรื่องบ้าง ก็ได้รับความเอาใจใส่ที่จะคุยตอบหรืออธิบายความต่างๆ ด้วยดี ภายหลังที่สภาชุดนั้นหมดหน้าที่แล้วก็ได้มีการตั้งชมรม สนช. 29-51 แล้วมีการสังสรรค์กันเป็นระยะ ท่านก็มาร่วมงานเกือบทุกครั้ง และทุกครั้งก็จะต้องมี “ปาฐกถาสั้น” จากท่านเสมอ ซึ่งปาฐกถาสั้นนี้มักจะเป็นประเด็นสำคัญทางการเมืองที่คนกำลังสนใจอยู่ขณะนั้น จึงมีความน่าสนใจเป็นพิเศษ

ก่อนช่วงที่จะมีการชุมนุมของ กปปส.ในตอนปลายปี 2556 ท่านก็ได้มาร่วมงานสังสรรค์ของชมรม ในปาฐกถาสั้นของท่านในครั้งนั้นมีใจความตอนหนึ่งที่ผู้เขียนขอสรุปเพียงสั้นๆ กล่าวถึงเหตุการณ์บ้านเมืองว่า “น่ากลัวจะเกิดเหตุไม่ดี” ทั้งนี้เพราะ “นักการเมืองไม่ดี” โดยท่านได้อธิบายถึงกรณีคดีความต่างๆ ที่เกิดขึ้นในระยะเวลาที่ผ่านมา รวมถึง “โคตรคดี-จำนำข้าว” นั้นด้วย และดูเหมือนว่าท่านจะรู้อนาคตด้วยว่า น่าจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงอะไร “แรง” เกิดขึ้นอีกครั้ง

ผู้เขียนไม่ได้จะเขียน “เชลียร์” หรือ “อวย” ท่านอาจารย์มีชัยแต่อย่างใด เพียงแต่นึกถึง “ตำราโหงวเฮ้งของซือแป๋สวนพลู” ก็มองเห็นความจริงว่า คนเรานั้นถ้าได้มาร่วมงานกัน กินข้าวสังสรรค์กัน และพูดคุยกันให้สนิทสนม ก็จะเห็น “ความเป็นตัวตน” ของคนคนนั้นชัดเจนขึ้น

ส่วนประวัติวงศ์ตระกูลของท่านอาจารย์มีชัยที่จะทำให้เรา “เข้าใจ” ท่านมากขึ้นจนถึงที่สุดตามตำราของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์นั้น ผู้เขียนขอเวลาที่จะไปศึกษาค้นคว้า แต่ที่สำคัญเราต้องตรวจสอบข้อมูลจากการแสดงความคิดเห็นของบุคคลต่างๆ ร่วมด้วย ทั้งที่ “สรรเสริญ” และ “เหยียดหยาม” แล้วชั่งน้ำหนัก “คัดกรอง” ดูว่าอะไรจริงหรือไม่จริง

ในทางส่วนตัวที่ผู้เขียนได้รู้จักท่านอาจารย์มีชัยมาเพียง 8-9 ปีนี้ ก็พอจะเปลี่ยนความเชื่อของผู้เขียนไปได้พอสมควร โดยอาศัยทฤษฎีของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ดังกล่าว

ท่านไม่ได้กลัวทหาร แต่กลัวไม่มีใครช่วยกอบกู้ประเทศ!

ข่าวล่าสุด

เวทีไทย–จีนเปิดเกมลงทุนใหม่ ดัน Industrial Park เชื่อมซัพพลายเชนโลก