ผาสุกชี้ระบบภาษีเงินได้เอาเปรียบ "มนุษย์เงินเดือน"
วงเสวนาแนะรื้อระบบภาษี เหตุคนรวยมีสิทธิ์ลดหย่อนมากทำรีดได้น้อยกว่าเป้า ย้ำต้องมุ่งหน้าสู่รัฐสวัสดิการ
วงเสวนาแนะรื้อระบบภาษี เหตุคนรวยมีสิทธิ์ลดหย่อนมากทำรีดได้น้อยกว่าเป้า ย้ำต้องมุ่งหน้าสู่รัฐสวัสดิการ
เมื่อวันที่ 23 ก.ย. ที่สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศ.ผาสุก พงษ์ไพจิตร อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยในการเสวนาเรื่อง “สวัสดิการถ้วนหน้า เป็นประโยชน์ต่อสังคมไทยอย่างไร?” ว่า จากการศึกษานโยบายรัฐสวัสดิการของหลายประเทศ โดยเฉพาะในแถบยุโรปเหนือ ส่วนใหญ่ไม่ได้มาง่ายๆ แต่ต้องมาจากระบบเปิด นั่นคือประชาชนมีสิทธิ์มีเสียงในการปกครองรัฐบาล
ขณะเดียวกัน ระบบพรรคการเมืองก็ไม่ใช่ระบบ “บนลงล่าง” นั่นคือ ภายในพรรคมีการสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้ง อย่างเท่าเทียม ด้วยระบบแบบนี้ จึงสามารถนำนโยบายที่มาจากประชาชนไปสู่การปฏิบัติได้ง่าย
“นโยบายรัฐสวัสดิการล้วนมาจากการต่อสู้ทางการเมือง เช่น การจัดตั้งพรรคการเมืองของกลุ่มคนจำนวนมาก ทั้งกลุ่มผู้หญิง ชาวนา เกษตรกร ที่มีแนวคิดแบบสังคมนิยมประชาธิปไตย ไปแข่งกับระบบอนุรักษ์นิยม จนสามารถนำนโยบายรัฐสวัสดิการเพื่อเข้ามาเป็นรัฐบาลเสียงข้างมากในรัฐสภา และปฏิรูประบบภาษี จนประสบความสำเร็จ” ศ.ผาสุกกล่าว
ศ.ผาสุก กล่าวอีกว่า สำหรับประเทศไทย รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อปี 2552 – 2554 ได้จ้างสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เพื่อศึกษาแผนการจัดสวัสดิการถ้วนหน้า ในปี 2560 โดยพบว่า หากจะทำระบบสวัสดิการถ้วนหน้า ตั้งแต่เกิดจนตาย โดยให้รัฐบาลดูแลสวัสดิการทั้งหมด ทั้งการศึกษา ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า การส่งเสริมเด็ก รวมถึงเบี้ยผู้สูงอายุ 500 บาท จะใช้งบประมาณราว 12.5% ของผลผลิตมวลรวมประชาชาติ (จีดีพี) อย่างไรก็ตาม การจัดระบบดังกล่าวไม่ได้รับการตอบรับ ทั้งจากพรรคประชาธิปัตย์ หรือจากรัฐบาลต่อๆ มา
“ปัจจุบัน การจัดสวัสดิการของรัฐ อยู่ที่ประมาณ 10% ของจีดีพีอยู่แล้ว ซึ่งจะต้องหาเงินเพิ่มขึ้นอีก 2.5% ในการจัดทั้งระบบ อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะงานวิจัยของธนาคารโลกได้ชี้ให้เห็นว่าระบบภาษีของไทยในปัจจุบัน หากจัดเก็บโดยไม่ให้มีช่องโหว่ และให้ครอบคลุมจริงๆ แม้จะใช้อัตราเดิม ก็จะมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 5% ของจีดีพี” อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ กล่าว
ศ.ผาสุก กล่าวอีกว่า ปัญหาสำคัญของระบบภาษี คือรัฐบาลไทยเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา คิดเป็นสัดส่วนน้อยมาก โดยปัจจุบันอยู่ที่ 14% ของภาษีทั้งหมดเท่านั้น ขณะที่ประเทศที่เจริญแล้ว จะเก็บภาษีเงินได้เฉลี่ยที่ 25%
นอกจากนี้ แม้จะมีภาษีอัตราก้าวหน้าสำหรับผู้ที่มีรายได้เกิน 4 ล้านบาทต่อปี แต่อัตราที่ก้าวหน้า ก็ยังถือว่าเก็บได้น้อย เนื่องจากคนกลุ่มนี้มีข้อยกเว้นเพื่อลดหย่อนภาษีได้มากกว่า 200 รายการ ขณะเดียวกัน ตัวเลขของคนที่จ่ายภาษีกลุ่มนี้เพียง 2.4 หมื่นรายเท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าความเป็นจริง ที่คนที่มีรายได้ต่อปีมากในระดับนี้น่าจะมีมากกว่า 6 หมื่นคน
“ปัจจุบันเรามีคนที่กรอกใบยื่นภาษี 9.9 ล้านคน แต่มีเพียง 3.3 ล้านคน ที่เสียภาษีจริง ส่วนคนที่รายได้ มากกว่า 1ล้าน – 4ล้านบาทต่อปีนั้น รัฐควรจะเก็บภาษีได้เกิน 60% จากเดิมที่เก็บได้ประมาณ 30% เนื่องจากมีช่องทางลดหย่อนผ่านกลไกต่างๆ เช่น การลงทุนในหุ้น ระบบดอกเบี้ย ค่าเช่า หรือเงินปันผล ต่างจากระบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่อาจเข้าไม่ถึงกลไกพวกนี้ เพราะฉะนั้นระบบภาษีของบ้านเราจึงเป็นระบบที่เอาเปรียบมนุษย์เงินเดือนมาก” ศ.ผาสุกกล่าว
นายกิติพัฒน์ นนทปัทมะดุลย์ อาจารย์คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า หากจะให้คนเสียภาษีปีละจำนวนมากๆ รัฐบาลต้องสร้างหลักประกันให้ได้ว่าภาษีทุกบาท ที่ประชาชนจ่ายไป จะถูกนำไปใช้เพื่อดูแลสวัสดิการของประชาชน และจะถึงคนจนจริงๆ
ส่วนพัฒนาการของระบบรัฐสวัสดิการนั้น ทั่วโลกมักเริ่มด้วยระบบประกันสังคม ตามมาด้วยระบบประกันสุขภาพ ประเทศไทยเกือบจะมีระบบประกันสังคม ตั้งแต่ปี 2475 แต่นายปรีดี พนมยงคื ซึ่งคิดระบบนี้ขึ้นมากลับโดนกล่าวหาว่าเป็นบอลเชวิก ทั้งนี้ ระบบประกันสังคม จะทำให้คนเท่ากันมากขึ้น และได้สวัสดิการดีขึ้น กล่าวกันว่า หากมีระบบประกันสังคมตั้งแต่วันนั้น สังคมไทยอาจไม่ต้องเจอเหตุการณ์เสียงปืนแตก ในปี 2508 หรือเหตุการณ์ 14 ต.ค. 2516 ก็เป็นได้
“สำหรับวิธีการแก้ปัญหา ไทยต้องปฏิรูประบบภาษี ให้ประชาชนจ่ายทางตรงมากขึ้น และต้องค่อยๆ ขยับอัตราภาษีเพื่อพัฒนาระบบรัฐสวัสดิการไปด้วยกัน นอกจากนี้ ยังต้องสร้างความมั่นใจว่า การเสียภาษีนั้นเพื่อช่วยคนอื่น ใจต้องกว้าง ต้องมองมนุษย์ให้เท่ากัน มองคนให้เท่ากันมากขึ้น”นายกิติพัฒน์กล่าว
ด้านนายจอน อึ๊งภากรณ์ ที่ปรึกษากลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ กล่าวว่า ประเทศไทยไม่มีความหวังกับการนำระบบรัฐสวัสดิการเพราะไม่ว่าพรรคการเมืองไหน ก็ไม่มีตัวแทนของคนจากจนจริงๆ ทั้งนี้ การจะผลักดันคงต้องมาจากพลังประชาสังคม เหมือนการกดดันให้เกิดนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค ขึ้นมา
“เราไม่ใช่ไม่มีรัฐสวัสดิการ อันที่จริงเรามีประกันสังคม แต่กลับอยู่เฉพาะในภาคลูกจ้างที่เป็นทางการ ถ้าไปทำไร่ทำนา ค้าขายก็หายไป นอกจากนี้ ยังไม่ครอบคลุมทั้งครอบครัว อีกอันที่สำคัญคือประกันสุขภาพ ซึ่งอยู่ในอันตราย เนื่องจากมีการระบุว่าเป็น ‘ประชานิยม’ ทั้งที่ไม่มีใครรู้ว่าประชานิยมหมายถึงอะไร ในความเห็นผม มันคือการโจมตีนโยบายที่เราไม่ชอบ ถ้าอย่างนั้น ขายล็อตเตอรี 80 บาท ก็เป็นประชานิยมเหมือนกัน”นายจอนกล่าว
ที่ปรึกษากลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ กล่าวอีกว่า อุปสรรคใหญ่ของการผลักดันรัฐสวัสดิการ คือประชาชนไม่รับรู้ และไม่เห็นความสำคัญของการเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุข รวมถึงไม่เข้าใจว่าหากเสียภาษีเพิ่ม จะได้อะไรบ้าง ทั้งที่รัฐสวัสดิการคือหลักประกันว่าหากมีลูก ลูกจะมีชีวิตที่ดี มีที่อยู่ ที่กิน สวัสดิการ การเรียน การรักษาพยาบาล ไม่ใช่การสงเคราะห์ให้คนจนเท่านั้น แต่คือพยายามทำให้คนจนและคนรวย มีศักดิ์ศรีเท่ากัน
“ถ้าอธิบายแบบนี้ ผมเชื่อว่าคนจะเอาด้วยมาก แต่เราอยู่ในสังคมโฆษณาชวนเชื่อ ที่พยายามดิสเครดิตสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นประชานิยม คอมมิวนิสต์ ซึ่งมันไม่มีความหมาย แต่เราใช้เพื่อพยายามคัดค้านสิ่งที่เราไม่ชอบเท่านั้นเอง” ที่ปรึกษากลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพกล่าว


