รัฐธรรมนูญฉบับข้าวนอกนา (1)
“ข้าวนอกนา” หมายถึง ข้าวที่ชาวนาไม่ได้ตั้งใจปลูก หลังรัฐประหารวันที่ 6 ต.ค. 2519 โดยคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน
โดย...ทวี สุรฤทธิกุล
“ข้าวนอกนา” หมายถึง ข้าวที่ชาวนาไม่ได้ตั้งใจปลูก
หลังรัฐประหารวันที่ 6 ต.ค. 2519 โดยคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน นำโดย พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ นักการเมืองทั้งหลายก็ตกงานไปหมด รวมถึงท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ที่เป็นหัวหน้าพรรคกิจสังคมอยู่ตอนนั้น ทำให้ท่านได้มีเวลากลับมาเขียนคอลัมน์ในหนังสือพิมพ์สยามรัฐอีกครั้ง โดยเริ่มต้นจากชื่อคอลัมน์ว่า “ข้างสังเวียน” “ข้าวไกลนา” และ “ข้าวนอกนา” นี้ ตามลำดับ
ผู้เขียนได้มาเป็นเลขานุการของท่านอยู่ในช่วงนี้ อดสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมท่านจึงเปลี่ยนชื่อคอลัมน์ถึง 3 ชื่อภายในเวลาไม่กี่เดือน เมื่อถามท่านจึงได้คำตอบว่า “มันเป็นพัฒนาการของความคิดว่ะ” (เข้าใจว่าท่านจะล้อเลียนทหารที่กำลังจะ “พัฒนาประเทศ” ด้วยการยึดอำนาจนั้น)
แล้วท่านก็อธิบายว่า แรกเริ่มใช้ชื่อ “ข้างสังเวียน” ก็เพราะการเมืองก็คือการต่อสู้ชนิดหนึ่งเหมือนการต่อยมวย ขณะที่กำลังชกกันอยู่ (ต่อสู้ทางการเมือง) อย่างเมามัน วันดีคืนดีก็ถูก (รัฐประหาร) ไล่ลงจากเวที ท่านเองก็ถูกไล่ลงมาด้วย แต่ยังอาลัยอาวรณ์การต่อสู้นั้นอยู่จึงไม่อยากหนีไปไหน ยังคงวนเวียนอยู่ข้างเวทีที่ภาษามวยเรียกว่า “สังเวียน” เป็น “คนข้างสังเวียน” ดังกล่าว
ต่อมาการเขียนคอลัมน์แบบท้าตีท้าต่อยอาจจะไม่เป็นที่ชอบใจของคณะปฏิรูปฯ เท่าไหร่ (ถ้าเป็นสมัยนี้คงถูกคุมตัวไปปรับทัศนคติ) พอดีช่วงนั้นท่านนั่งรถไปเที่ยวแถวทุ่งอยุธยา เห็นข้าวกล้านารวงเต็มทุ่งเต็มท่า คุยกับคนแถวนั้นบอกว่า นาที่นี่มีหลายประเภท บางทีต้นกล้ามันเหลือก็ไปหว่านๆ ดำๆ เสียที่อื่นนอกเขตนา เรียกว่าข้าวไกลนา และเนื่องจากว่าข้าวแถวนี้เป็นนาหว่านเสียส่วนใหญ่ บางทีก็หว่านหลุดไปงอกนอกแปลงนา จึงเรียกว่าข้าวนอกนา
ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์จึงจดจำเอาไว้ วันหนึ่งเมื่อคิดจะเปลี่ยนชื่อคอลัมน์ จึงเลือกชื่อข้าวไกลนามาใช้ก่อน อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ ในช่วงที่ท่านเป็นนายกรัฐมนตรี นโยบายประกันราคาข้าวประสบความสำเร็จมาก ชาวนาลืมตาอ้าปากได้และมีอนาคตที่ดี จึงอยากจะให้ชื่อคอลัมน์นั้นเป็นการระลึกถึงนโยบายดังกล่าว เพราะข้าวกับคนไทยนั้นผูกพันกันอย่างยิ่ง โดยท่านอาจารย์คึกฤทธิ์พูดถึงเรื่องนี้อย่างซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่งว่า “คนไทยขาดนาข้าวไม่เห็นข้าวไม่ได้ เพียงมองยอดข้าวสีเขียว รวงข้าวสีทอง สะบัดไปเต็มทุ่ง ก็มีความสุขเหลือประมาณ”
รวมถึงที่ท่านประกาศนโยบายว่า “ทุกข์ของชาวนาคือทุกข์ของแผ่นดิน”
ผู้เขียนจึงขอยืมชื่อ “ข้าวนอกนา” มาใช้กับบรรยากาศทางการเมืองในขณะนี้ หลังจากที่รัฐธรรมนูญ “ฉบับสีชมพู” ของท่านอาจารย์บวรศักดิ์มีอันต้องตกท่อบ้อท่าล่าถอยล้มไป พร้อมกับที่กำลังจะมีการร่างกันใหม่โดยคณะ 21 อรหันต์ ที่กำลัง “ล้วงหา” กันอยู่อย่างอลหม่าน ซึ่งหลายคนคิดว่าคงจะเป็นรัฐธรรมนูญที่ถูกใจ คสช. เพราะจะต้องเขียนตาม “พิมพ์เขียว” เพื่อไม่ให้ถูก “วิสามัญ” อย่างผู้ยกร่างคณะก่อน จะเอาความคิดของตนเพ้อฝันอยากได้โน่นได้นี่ หรือที่หัวหน้า คสช.ท่านเรียกว่า “พวกโลกสวย” นั้นไม่ได้
มีคนถามว่า ถ้า คสช.มาเชิญให้ไปเป็น 1 ใน 21 อรหันต์ ผู้เขียนจะรับเป็นหรือไม่ ผู้เขียนก็ได้แต่ตอบไปว่า ผู้เขียนไม่มีคุณสมบัติอย่างที่หัวหน้า คสช.ท่านต้องการอะไรเลย ตั้งแต่วัยวุฒิคืออายุ แม้จะอายุ 50 กว่าๆ แล้วแต่ก็ถือว่ายังเด็กไปในแวดวงนักรัฐศาสตร์ หรือความรู้ความสามารถก็แค่เคยไม่เคยเป็นใหญ่เป็นโตอะไร โดยเฉพาะประสบการณ์ด้าน “บริกร” แต่ที่สำคัญคือ ต้องเข้าใจ (หมายถึงรู้ใจ) คสช. ในเป้าหมายที่ คสช.ต้องการ ซึ่งผู้เขียนก็ไม่เข้าใจ คสช.มาโดยตลอดตั้งแต่ที่ยึดอำนาจเมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2557 เพราะท่านประกาศว่าจะมาปฏิรูปและสร้างการปรองดอง แต่หลายครั้งท่านก็ “ปรับเปลี่ยน” อยู่เรื่อยๆ จนกระทั่งการคว่ำร่างรัฐธรรมนูญที่หลายคนคาดไม่ถึง ที่แม้ว่าท่านจะบอกว่าไม่ได้สั่งการหรือให้ไฟเขียว แต่ก็น่าสงสารคนที่ท่านให้มาทำงานนี้ทั้งคณะกรรมาธิการยกร่างฯ และสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ
วันจันทร์ที่ 7 รุ่งขึ้นของวัน “ฟ้าผ่ามอปลาย่าง” (มอปลาย่างคือร้านขายอาหารริมเขื่อนลำตะคองบนถนนมิตรภาพที่กำลังถูกสั่งรื้อถอน แต่ในที่นี้หมายถึงรัฐธรรมนูญที่ย่างหรือร่างเสร็จแล้วแต่ไม่ทันได้บริโภคก็ถูกทำลายทิ้งเสียก่อน) ผู้เขียนก็เข้าไปทำงานที่มหาวิทยาลัยตามปกติ แต่ก็ต้องพบกับสิ่งที่ไม่ปกติถึง 3 เรื่อง คือ หนึ่ง อาจารย์ที่คณะมาทำงานพร้อมหน้าพร้อมตากันทุกคนโดยไม่ได้นัดหมาย สอง ต่างก็คุยกันเรื่องการล้มร่างรัฐธรรมนูญเมื่อวันอาทิตย์ และสาม ต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่าเหตุผลที่ล้มก็คือ ทหารกลัว “เสียท่า” มากกว่า “เสียของ”
ข้อสามนี้มาสรุปได้ตอนมื้อเที่ยงที่ร้านสุกี้อิสลามที่ถนนติวานนท์ปากซอยสามัคคี ผู้เขียนจึงขอเรียกผลการประชุมวันนั้นว่า “แถลงการณ์ติวานนท์” (ดูน่าฟังกว่า “สามัคคี” ที่มีความหมายพื้นๆ เกินไป) ใจความโดยย่นย่อเป็นดังนี้
1.มีนายทหารใน สปช.จำนวนหนึ่งที่ใกล้ชิดกับ คสช.ได้มีความห่วงใยในสถานการณ์ที่หากร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ต้องถูกส่งไปทำประชามติ เพราะน่าจะไม่ผ่านความเห็นชอบของประชาชน โดยเฉพาะการตั้งป้อมต่อสู้ของนักการเมืองและกลุ่มที่เกลียดชัง คสช.
2.การที่ประชาชนไม่รับร่างรัฐธรรมนูญจะถูกตีความว่าประชาชนไม่รับ “ระบอบทหาร” ที่ปกครองประเทศนี้อยู่ แล้วจะมีการเชื่อมโยงไปถึงการกระทำของทหารในอดีต (คือการยึดอำนาจ 22 พ.ค. 2557) และที่จะทำในอนาคต (การปฏิรูปประเทศ) ว่า “ไม่ชอบธรรม”
3.นั่นก็คือ “การล่มสลาย” ของระบอบทหารในวันที่ประชาชนไม่รับร่างรัฐธรรมนูญนั้น ยิ่งกว่าล่มสลายเมื่อหลังเหตุการณ์วันที่ 14 ต.ค. 2516 ที่ครั้งนั้นทหารยังมี “ที่พิง” แล้วฟื้นคืนสู่อำนาจได้อีก แต่ในครั้งนี้ทหารมีประชาชนเท่านั้นที่เป็น “ที่พิงสุดท้าย”
4.การให้ลงมติไม่รับร่างรัฐธรรมนูญของคณะกรรมาธิการยกร่างฯ ในวันที่ 6 จึงเป็นเหมือน “ตัดก่อนตาย เตือนก่อนวายวอด” เพื่อไม่ให้ระบอบทหารต้องพังครืนที่จะส่งผลกระทบเป็น “โดมิโน” ต่อการล่มสลายของ “องคาพยพที่สำคัญ” ในส่วนอื่นๆ ของประเทศด้วย
“การวิเคราะห์” ข้างต้นนี้อาจจะ “ฝันร้ายเกินไป” แต่ก็มีเหตุผลน่าฟังอันมาจากข้อมูลเท่าที่หาได้ ซึ่งคณะพวกเรายังเห็นพ้องกันอีกว่าน่าจะเสนอแนวคิดต่างๆ ไปช่วย คสช.บ้าง อันเป็นที่มาของ “รัฐธรรมนูญฉบับข้าวนอกนา” ที่ต้องขอไปนำเสนอรายละเอียดในสัปดาห์หน้า
อย่างเช่น คปป.ก็คือ “องค์กรพิทักษ์รัฐธรรมนูญ” ที่เราเคยเสนอในปี 2550


