ทำงานหนักเพื่ออนาคต
แม่ให้พี่เขียนจดหมายบอกผมว่าแม่ดีใจที่รู้ว่าผมปลอดภัยดี ขอให้ผมอย่าเจ็บอย่าจน อย่าอดอยากเหมือนที่อยู่เมืองจีน
โดย...ซิวซี แซ่ตั้ง
แม่ให้พี่เขียนจดหมายบอกผมว่าแม่ดีใจที่รู้ว่าผมปลอดภัยดี ขอให้ผมอย่าเจ็บอย่าจน อย่าอดอยากเหมือนที่อยู่เมืองจีน นอกจากสิ่งดีๆ ที่แม่อวยพรมาในจดหมายแล้ว พี่ชายผมฝากข้อความมาในจดหมายส่งข่าวว่า ซ้อทั้งสองมาถึงเมืองไทยแล้ว
ผมยังส่งของไปให้ทางบ้านอย่างสม่ำเสมอ จริงๆ แล้วผมส่งแต่ของกินไม่ได้ส่งเงิน เพราะที่เมืองจีนอาหารไม่เพียงพอ และค่าเงินหยวนก็แทบไม่มีค่า ถ้าที่บ้านต้องใช้ของจำเป็นอย่างอื่นก็สามารถนำข้าวของไปแลกหรือขายก็ได้
ผมส่งของกลับบ้านประมาณ 2 เดือนครั้งอย่างสม่ำเสมอ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2489 จนถึงปี พ.ศ. 2493 รวมเวลา 4 ปีเศษ หลังจากนั้นผมส่งของน้อยลงมาก เพราะความเข้มงวดของรัฐบาลในสมัย จอมพล แปลก พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี และแทบไม่มีการส่งโพยก๊วนอีกเลยในสมัยจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้ออกกฎหมายข้อบังคับและมีบทลงโทษที่รุนแรงมากจนอาจเรียกว่า ห้ามคนไทยติดต่อหรือส่งสิ่งของกับประเทศจีนคอมมิวนิสต์ ทำให้ผมไม่สามารถติดต่อหรือส่งสิ่งของไปให้แม่และพี่ชายที่เมืองจีนได้อีกเลย
ผมเป็นห่วงทุกคนที่เมืองจีน แต่ทำได้แค่ห่วงใย ชีวิตผมจึงมาทุ่มกับการทำงานหาเงินสร้างฐานะอย่างเต็มที่ ผมโหมทำงานอย่างหนักแบบไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพื่อให้มีรายได้มากที่สุด คนที่เห็นผมทำงานต่างก็ประหลาดใจไปตามๆ กันว่า ผมเอาเรี่ยวแรงจากไหนมาทำงานหนักอย่างนี้
ขนาดพี่ชายทั้งสองของผมที่แวะมาเยี่ยม พอรู้ว่าผมทำงานทั้งวันทั้งคืน จนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน ต่างก็เตือนผมว่า
“มันจะไม่ไหวนะซิวซี คนเราทำงานต้องมีเวลาพัก เล่นทำงานทั้งวันทั้งคืนอย่างนี้ เจ็บป่วยขึ้นมามันไม่คุ้ม”
“ผมยังแข็งแรง ไม่ป่วยง่ายๆ หรอกพี่ มีงานให้ทำ ผมต้องรีบทำ รีบหาเงินเก็บไว้เยอะๆ”
“แกจะรีบร้อนไปทำไม พี่กลัวว่าแกจะตายเสียก่อนจะได้ใช้เงิน”
ผมได้แต่ยิ้มกับคำพูดของพี่ชายทั้งสอง เพราะพี่ชายทั้งสองไม่รู้ความคิดภายในใจของผม ที่ผมต้องรีบทำงานหาเงิน เพราะผมอยากมีทุนเพื่อเริ่มธุรกิจและเป็นเจ้าของกิจการเอง ผมไม่ได้คิดแค่ว่าจะยกแบกเป็นจับกังอย่างนี้ตลอดไป แต่ผมไม่ได้พูดความฝันในใจให้พี่ฟัง เพราะกลัวพี่ชายจะคิดว่าผมเพ้อเจ้อ ได้แต่บอกพี่ชายว่า ไม่ต้องเป็นห่วงผม ตอนอยู่ที่เมืองจีน ผมเคยทำงานแบกหามหนักๆ มาแล้ว
พี่ชายใหญ่เข้ามาจับไหล่อย่างให้กำลังใจ สายตาที่มองมาแม้ไม่พูดออกมาเป็นคำพูด ผมก็รู้ว่าพี่ชายสงสารผม
“พี่เป็นพี่ชายที่ใช้ไม่ได้ ช่วยอะไรน้องไม่ได้ แกเลยต้องลำบาก”
พี่ชายใหญ่พูดเสียงเศร้า
“ใครว่าพี่ช่วยผมไม่ได้ พี่ช่วยให้ผมรอดพ้นจากการติดคุก ช่วยให้ผมได้มีที่อยู่ที่กินในช่วงที่ผมเพิ่งมาอยู่เมืองไทย แค่นี้ผมก็ซาบซึ้งใจยิ่งนัก มีโอกาสเมื่อไหร่ผมจะต้องตอบแทนบุญคุณของพี่”
พี่ชายพยักหน้าตบไหล่ผมเบาๆ ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มก่อนย้ำให้ผมดูแลรักษาสุขภาพให้ดี สำหรับผมคิดแต่ว่า “งานคือชีวิต ชีวิตคืองาน” หรือที่คนในสมัยนั้นชอบพูดว่า “งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข” นั่นเอง
ผมเฝ้าบอกตัวเองอยู่เสมอว่า...
“เราจะต้องประสบความสำเร็จและต้องทำธุรกิจ เป็นเจ้าของกิจการให้ได้”
นั่นเหมือนเป็นหลักชัยในชีวิตให้ผมบ้าทำงานจนกลายมาเป็นเจ้าของธุรกิจนับหมื่นล้านในเวลาต่อมา ทั้งๆ ที่ในขณะนั้นผมยังเป็นแค่กุลี เป็นผู้ขายแรงงานที่ไม่มีอนาคตเลยด้วยซ้ำ
(อ่านต่อฉบับวันเสาร์หน้า)


