ถอดบทเรียน ‘ต้มยำกุ้ง’ สู่เคล็ดวิชามหาอุดเอเชีย
ท่ามกลางสภาพความผันผวนทางเศรษฐกิจที่กำลังแพร่พิษไปทั่วโลก
โดย...ก้องภพ เทอดสุวรรณ
ท่ามกลางสภาพความผันผวนทางเศรษฐกิจที่กำลังแพร่พิษไปทั่วโลก เอเชียกลับยังคงยืนหยัดต้านทานวิกฤตได้อย่างแข็งแกร่ง แม้จะต้องเผชิญผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกบางประการ เช่น เงินอ่อนอย่างรุนแรง ก็ยังถือได้ว่าเอเชียยังอยู่ในตำแหน่งที่ดีหากเทียบกับกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ในภูมิภาคอื่น
ไม่เพียงเท่านี้ แม้แต่ในช่วงเศรษฐกิจผันผวนในปัจจุบันเท่านั้น แต่ยังรวมถึงในช่วงวิกฤตการเงินโลกปี 2008-2009 ด้วย แม้ไม่อาจปฏิเสธผลกระทบจากวิกฤตใหญ่ระดับโลกได้ แต่เอเชียก็ได้พิสูจน์ฝีมือเอาไว้แล้วว่าเป็นภูมิภาคที่ศักยภาพในการต้านทานวิกฤตทางเศรษฐกิจ
วอลสตรีท เจอร์นัล ระบุว่า สาเหตุที่เอเชียมีวิชา “มหาอุด” ต้านทานวิกฤตได้หลายครั้งเนื่องจากเอเชียเคยเผชิญและได้รับบทเรียนล้ำค่าจากช่วงวิกฤตการเงินเอเชียปี 1997 (วิกฤตต้มยำกุ้ง) มาแล้ว ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าว เอเชียเหมือนอยู่ใจกลางพายุเลยทีเดียว
วิกฤตต้มยำกุ้งเริ่มต้นขึ้นเมื่อธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตัดสินใจลอยตัวค่าเงินบาท ส่งผลให้สัดส่วนหนี้ที่กู้ยืมจากต่างชาติสูงขึ้นเป็น 2 เท่า สถาบันการเงินหลายแห่งผิดนัดชำระหนี้จนล้มละลาย การบริโภคภายในประเทศซบเซาอย่างนักมิหนำซ้ำการเข้ามาแครี่เทรดเงินบาทในสมัยนั้น ยังกลายเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ผลกระทบของวิกฤตดังกล่าวแพร่กระจายไปทั่วเอเชีย นับตั้งแต่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ไปจนถึง เกาหลีใต้
หลังจากฟื้นฟูเศรษฐกิจสะสมความมั่งคั่ง เอเชียจึงกลายเป็นภูมิภาคหนึ่งที่มีการเตรียมมาตรการป้องกันวิกฤตอย่างดีเยี่ยม โดยเคล็ดวิชาที่ทำให้เอเชียสามารถต้านทานวิกฤตทางเศรษฐกิจได้ มีดังต่อไปนี้
ประการแรก เอเชียเป็นหนี้ในสกุลเงินต่างชาติน้อยมาก โดยในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง ภาคเอกชนที่ไปก่อหนี้ในรูปแบบสกุลเงินเหรียญสหรัฐจำนวนมากเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดวิกฤตขึ้นมา
ร็อบ ซับบารามาน นักวิเคราะห์ของโนมูระ แสดงความเห็นว่า จุดอ่อนของเอเชียอยู่ที่สัดส่วนหนี้ต่อจีดีพีซึ่งเคยอยู่สูงมากในช่วงปี 1996 ซึ่งสภาพดอกเบี้ยสูงในสมัยนั้นก่อให้เกิดทุนไหลเข้ามหาศาล ทำให้เอเชียอยู่ในสภาวะของการเติบโตจากหนี้
ในยุคปัจจุบันการปรับลดสัดส่วนหนี้ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายใน (จีดีพี) และการลดการกู้ยืมระยะสั้นจากต่างชาติ ช่วยให้เอเชียไม่ต้องเผชิญกับวิกฤต อีกทั้งยังมีมาตรการป้องกันทุนและเครดิตในบางภาคส่วน เช่น ภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบอย่างมากในช่วงวิกฤตปี 1997
ประการต่อมา วิกฤตต้มยำกุ้งกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้หลายประเทศในเอเชียตัดสินใจปรับอัตราแลกเปลี่ยนให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น จากเดิมที่ในช่วงก่อนเกิดวิกฤตในปี 1996 ประเทศในเอเชียส่วนใหญ่ผูกติดค่าเงินท้องถิ่นกับสกุลเงินเหรียญสหรัฐ ทำให้หลายประเทศในเอเชียต้องทุ่มทุนสำรองระหว่างประเทศไปกับการป้องกันความผันผวนในอัตราแลกเปลี่ยน
ในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งปรากฏว่า ประเทศที่ได้รับผลกระทบหนักอย่างไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย และเกาหลีใต้ เผชิญกับสภาพค่าเงินที่อ่อนค่าลงอย่างฉับพลันเกือบ 50% ธนาคารกลางจึงตัดสินใจลอยตัวอัตราแลกเปลี่ยนในที่สุด
การลอยตัวอัตราแลกเปลี่ยน ส่งผลให้เอเชียไม่ต้องหวนคืนสู่ยุคที่ต้องใช้ทุนสำรองระหว่างประเทศจำนวนมากเพื่อป้องกันอัตราแลกเปลี่ยนอีกต่อไป ทำให้ค่าเงินเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป ถึงแม้บางประเทศจะต้องเผชิญกับสภาพเงินอ่อนค่าอย่างรุนแรงก็ตาม โดยเฉพาะประเทศที่เน้นการพึ่งพาการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์อย่างอินโดนีเซีย
ประการที่สาม เอเชียเริ่มที่จะเก็บทุนสำรองระหว่างประเทศในสัดส่วนที่สูง หลังจากความจำเป็นในการต้องกู้ยืมเงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เพื่อแก้ไขวิกฤตซึ่งพ่วงมาด้วยมาตรการรัดเข็มขัดที่ช่วยปรับโครงสร้างทางการเงินของเอเชียให้มีความเข้มงวดมากขึ้น
ตามการประเมินของ มอร์แกน สแตนเลย์ วาณิชธนกิจชื่อดังจากสหรัฐ โดยเฉลี่ยแล้วแต่ละประเทศในเอเชียมีทุนสำรองระหว่างประเทศครอบคลุมมูลค่าการนำเข้าได้ถึง 15 เดือน นอกจากนี้การขยายตัวของตลาดตราสารหนี้ภายในประเทศส่งผลให้เอเชียมีพื้นที่ในการกู้ยืมในประเทศแทนที่การกู้เงินจากต่างชาติมากขึ้น
ประการที่ 4 วิกฤตการเงินเอเชียทำให้เอเชียไม่กล้าดำเนินดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลจำนวนมาก โดยในปัจจุบันหลายประเทศในเอเชียมีดุลบัญชีเดินสะพัดอยู่ในภาวะเกินดุล ส่งผลให้หลายประเทศสามารถเอาชนะภาวะเงินทุนไหลออกได้ ซึ่งเกิดจากความจำเป็นในการนำเข้าสินค้าโภคภัณฑ์และทุนไหลออกตามความผันผวนของเศรษฐกิจโลก
กรณีดังกล่าวส่งผลต่อความแข็งแกร่งของสกุลเงินโดยตรง เนื่องจากประเทศที่ได้ดุลบัญชีเดินสะพัดในสัดส่วนที่สูงมักมีค่าเงินแข็ง ตรงข้ามกับประเทศที่มีดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลมักเผชิญกับความผันผวนด้านอัตราแลกเปลี่ยนได้ง่าย
ประการสุดท้ายที่ถือเป็นหัวใจหลักของวิชาคัมภีร์มหาอุดของเอเชีย คือ การที่รัฐบาลกำกับดูแลภาคธนาคารมากขึ้น รวมถึงความร่วมมือในการประสานนโยบายกับต่างประเทศ โดยนับตั้งแต่ปี 1997 เป็นต้นมา เอเชียได้ตกลงร่วมกันที่จะการแลกเปลี่ยนค่าเงินในระยะสั้นหากประเทศสมาชิกเกิดสภาพขาดแคลนเงินสภาพคล่อง
นอกจากนี้ หลายประเทศยังปรับเพิ่มความโปร่งใส ตรวจสอบได้ มีการเปิดเผยนโยบายทางการเงินผ่านระบบออนไลน์ ส่งผลให้การคาดเดาทิศทางทางการเงินทำได้ง่ายขึ้น
อย่างไรก็ตาม เคล็ดวิชามหาอุดในเอเชียทั้ง 5 กระบวนท่า ที่เอเชียใช้รับมือกับวิกฤตมาจนถึงปัจจุบัน ต้องยอมรับว่า ยังไม่ใช่เคล็ดวิชาที่สมบูรณ์แบบ และยังล้าสมัยสำหรับในบางกรณีนี้
ทุกวันนี้ แม้หลายชาติในเอเชียจะยังรับมือกับช่วงแห่งการซบเซาในปัจจุบันได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ลืมไม่ได้คือสถานการณ์ด้านวิกฤตที่เปลี่ยนแปลงไป ต้องไม่ลืมว่าเอเชียยังมีเศรษฐกิจพึ่งพาการส่งออกและในช่วงวิกฤตการเงินเอเชียปี 1997 ค่าเงินที่อ่อนลงอย่างฮวบฮาบกลับส่งผลดีต่อการส่งออก
ทว่า ในปัจจุบันเอเชียกำลังเผชิญกับสภาพแรงซื้อหด ทั้งจากจีนลูกพี่ใหญ่เอเชียที่เผชิญสภาพเศรษฐกิจซบเซามากที่สุดในรอบ 2 ทศวรรษ รวมถึงแรงซื้อจากฝั่งยุโรป ญี่ปุ่น และสหรัฐที่ยังไม่ฟื้นตัวดีนัก
ส่งผลให้เอเชียต้องเผชิญกับสภาพที่การส่งออกติดขัด แรงซื้อโลกไม่มี แม้ค่าเงินจะลดลงก็ไม่ได้ช่วยกระตุ้นการส่งออกมากนัก
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเห็นได้ชัดในประเทศที่ส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์เป็นหลักอย่าง มาเลเซียและอินโดนีเซีย โดยค่าเงินของทั้งสองประเทศอ่อนค่าลงอย่างรุนแรงมากที่สุดในเอเชีย แต่กลับไม่ได้ช่วยกระตุ้นการส่งออกแต่อย่างใด
ทั้งสองประเทศเผชิญกับค่าเงินอ่อนค่าอย่างรุนแรง และยังไม่มีสิ่งใดประกันได้ว่าธุรกิจในประเทศที่ไปกู้ในรูปสกุลเงินเหรียญสหรัฐมาไม่น้อยจะไม่ผิดนัดชำระหนี้ และลากทั้งชาติให้เผชิญกับวิกฤตในที่สุด
บทเรียนจากวิกฤตการเงินเอเชียปี 1997 ยังคงช่วยต้านทานวิกฤตที่เกิดขึ้นในโลกจนถึงปัจจุบัน แต่เอเชียก็จำเป็นต้องสร้างมาตรการใหม่ๆ ออกมารับมือกับสภาพเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไปด้วย


