พักรบศึกค่าเงิน รับมือสหรัฐขึ้นดอกเบี้ย
โดย...ก้องภพ เทอดสุวรรณ
โดย...ก้องภพ เทอดสุวรรณ
สงครามหั่นค่าเงินซึ่งดำเนินมาอย่างเข้มข้นนับตั้งแต่ต้นปี กำลังคลายความตึงเครียดลงเพื่อเตรียมรับมือกับภัยคุกคามใหม่จากการปรับนโยบายสถาบันการเงินที่มีอำนาจมากที่สุดในโลก ที่รู้จักกันในชื่อธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
การ “พักรบ” ชั่วคราวของบรรดาธนาคารกลางทั่วเอเชียแปซิฟิก มีขึ้นหลังจากที่มีการคาดการณ์ว่าเฟดจะประกาศปรับขึ้นดอกเบี้ยภายในการประชุมเดือน ก.ย.ปีนี้ โดยการให้สัมภาษณ์ของ เดนนิส ล็อกฮาร์ท ผู้ว่าการเฟดสาขาแอตแลนตาแก่วอลสตรีท เจอร์นัล ระบุว่า เฟดมีแนวโน้มจะปรับขึ้นดอกเบี้ยภายในเดือน ก.ย.นี้ นับเป็นการตอกย้ำภาพที่ชัดเจนว่า เฟดจะปรับทิศทางนโยบายทางการเงินครั้งใหญ่เป็นครั้งแรกในรอบ 8 ปี ในเดือน ก.ย.นี้อย่างแน่นอน
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวส่งผลให้ค่าเงินเหรียญสหรัฐทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยนับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ตามการติดตามของบลูมเบิร์กพบว่า ค่าเงินเหรียญสหรัฐแข็งค่าขึ้นไปแล้วถึง 8.7% นับตั้งแต่เดือน ม.ค. 2015
สวนทางกับค่าเงินของกลุ่มประเทศในเอเชียแปซิฟิกที่ดิ่งลงอย่างรวดเร็วตามการเตรียมใช้นโยบายดอกเบี้ยขาขึ้นของสหรัฐและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกของหลายประเทศอยู่ในภาวะตกต่ำตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก โดยหลายสกุลเงินทั้ง มาเลเซีย (ริงกิต) อินโดนีเซีย(รูเปียห์) และเกาหลีใต้ (วอน) เคลื่อนไหวอยู่ในระดับอ่อนค่ามากที่สุดนับตั้งแต่ช่วงวิกฤตการเงินเอเชียปี 1998
บรรดาธนาคารกลางทั่วเอเชียจึงเริ่มตระหนักว่า สกุลเงินของตนอ่อนค่าเกินไปแล้ว ทำให้สถานการณ์ในขณะนี้ออกมาในแนวโน้มชะลอการใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินชั่วคราว เพื่อสกัดไม่ให้ค่าเงินอ่อนไปมากกว่านี้ แม้สภาพเศรษฐกิจจะยังย่ำแย่อยู่ก็ตาม
แม้ก่อนหน้านี้บรรดาธนาคารกลางทั่วเอเชียแปซิฟิกจะตบเท้าออกมาหั่นดอกเบี้ยกันถ้วนหน้า เพื่อกดดันให้สกุลเงินท้องถิ่นอ่อนค่าลง ทว่าในปัจจุบันกระแสความกระตือรือร้นในการใช้นโยบายทางการเงินชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัด โดย แกรม วีเลอร์ ผู้ว่าการธนาคารกลางนิวซีแลนด์ เริ่มลดการแสดงความกังวลเกี่ยวกับสกุลเงินเหรียญนิวซีแลนด์แข็งค่าเกินไป
ต่อมาไม่นาน ฮารุฮิโกะ คุโรดะ ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) เริ่มส่งสัญญาณว่า ไม่มีแผนการสำหรับขยายโครงการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจอีกต่อไป หลังจากที่ค่าเงินเยนร่วงลงมากกว่าที่ทางบีโอเจคาดการณ์ไว้ในเดือน มิ.ย. และเดือน ก.ค.
เช่นเดียวกับธนาคารกลางอินเดีย(อาร์บีไอ) ซึ่งคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 7.25% หลังจากที่ปรับลดมาแล้ว 2 ครั้ง ตั้งแต่ช่วงครึ่งปีแรก ขณะที่ธนาคารกลางแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 1.5% เช่นเดียวกัน
ด้าน เจมส์ ริกคารดส์ หัวหน้าฝ่ายยุทธศาสตร์การลงทุนโลกของเวสต์ชอร์ฟันด์ บริษัทบริการลงทุนและผู้แต่งหนังสือเกี่ยวกับสงครามค่าเงิน แสดงความเห็นว่าสภาพในปัจจุบันนั้นเหมือนกับการพักชั่วคราวในสงครามค่าเงิน โดยมีการเตรียมปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดเป็นปัจจัยสำคัญ
เนื่องจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดจะกระตุ้นให้ทุนไหลเข้าสหรัฐมากขึ้น และส่งผลให้สกุลเงินสหรัฐแข็งตัวขณะที่สกุลเงินประเทศอื่นๆ บนโลกอ่อนค่าลง ธนาคารกลางทั่วโลกจึงชะลอการใช้เครื่องมือทางการเงินจัดการกับอัตราแลกเปลี่ยน
ทั้งนี้ บรรดาธนาคารกลางทั่วโลกต่างปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง หลังจากธนาคารกลางยุโรปตัดสินใจผ่อนคลายทางการเงินครั้งใหญ่ด้วยการใช้นโยบายผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) ส่งผลให้สกุลเงินยูโรอ่อนค่าลง ความเคลื่อนไหวในครั้งนี้ถือเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ธนาคารกลางกลุ่มประเทศอื่นๆ ต้องงัดมาตรการผ่อนคลายทางการเงินออกมาใช้ด้วยเช่นกัน กลายเป็นภาพของ “สงครามค่าเงินที่แต่ละประเทศห้ำหั่นกันเอง”
เพื่อกดไม่ให้สกุลเงินท้องถิ่นของตนแข็งค่าขึ้น เพื่อปกป้องผลประโยชน์ด้านการส่งออก ซึ่งท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวเช่นนี้ ทำให้การส่งออกสินค้าเต็มไปด้วยความยากลำบาก หากค่าเงินแข็งขึ้นยิ่งทำให้การส่งออกทำได้ยากขึ้นเท่าตัว
อย่างไรก็ตาม ในท้ายที่สุดแล้วสงครามค่าเงินกลับไม่ช่วยกระตุ้นการส่งออกมากนัก ซ้ำยังส่งผลให้แง่ลบต่อสภาพเศรษฐกิจและการส่งออกของเอเชียมากกว่าเดิมเสียอีก
ทั้งนี้ การส่งออกของกลุ่มเอเชียตะวันออกปรับลง 5.2% ในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา โดยปัจจัยหลักจากการชะลอตัวของจีนและยุโรป รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มในระบบห่วงโซ่อุปทาน ส่งผลให้การส่งออกของประเทศในภูมิภาคชะลอตัวลง
นอกจากจะเป็นประเด็นการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้มการบริโภคสินค้าโลกที่เปลี่ยนไป ยังเป็นผลมาจากการแข่งขันหั่นค่าเงิน ในกรณีนี้ตามทฤษฎีเกมศูนย์ (Zero Sum Game) จะมีประเทศเดียวเท่านั้นที่ได้ประโยชน์จากการกดค่าเงินขณะที่ประเทศอื่นจะเสียประโยชน์ เช่น ญี่ปุ่น ซึ่งมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นถึง 6% ในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา หลังจากที่กดค่าเงินจนอ่อนไปถึง 18%
นักเศรษฐศาสตร์หลายสำนักระบุตรงกันว่า การกดค่าเงินทำให้แนวโน้มความต้องการสินค้าโลกเปลี่ยนแปลงไป โดยการกดค่าเงินของญี่ปุ่นและกลุ่มประเทศยูโรโซนส่งผลให้มีแนวโน้มที่ผู้บริโภคจะเลือกสินค้าในประเทศมากกว่านำเข้า เนื่องจากสัดส่วนราคาไม่ได้ต่างกันมากนัก
กาเวคัล ดราโกโนมิกส์ สำนักวิจัยเศรษฐกิจ ระบุว่า กรณีดังกล่าวส่งผลให้เกิดภาวะสินค้าล้นตลาดและชะลอการค้าระหว่างประเทศลง เห็นได้ชัดในกรณีของจีน ซึ่งเผชิญกับภาวะการส่งออกชะลอตัวส่งผลให้การนำเข้าชะลอตัวตามไปด้วย ในขณะที่การส่งออกชะลอตัวลง 2.2% เมื่อไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ปรากฏว่าการนำเข้าชะลอตัวถึง 11% ซึ่งส่งผลกระทบต่อการส่งออกของประเทศอื่นๆ เช่นกัน
ขณะเดียวกัน การชะลอตัวของการส่งออกและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ได้ส่งผลให้นักลงทุนดึงเงินออกจากการลงทุนในเอเชียแปซิฟิกแล้วถึง 6,200 ล้านเหรียญสหรัฐในช่วงเดือนที่ผ่านมา นอกจากนี้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ยังปรับลดการคาดการณ์เศรษฐกิจลงอีกด้วย
จึงไม่แปลกที่บรรดาธนาคารกลางในเอเชียจะพักรบในเกมสงครามค่าเงินสักพัก เพื่อหาทางเตรียมรับมือกับการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดไม่ให้ค่าเงินอ่อนลงไปมากกว่านี้ อย่างไรก็ตาม อีกสิ่งหนึ่งที่เอเชียจะลืมพิจารณาไม่ได้ เทรนด์การค้าโลกที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว ดังนั้น โครงการเศรษฐกิจแบบพึ่งพาการส่งออกอาจได้ผลน้อยลง และจำเป็นอย่างยิ่งที่เอเชียต้องหันมากระตุ้นการบริโภคภายในประเทศมากขึ้น


