"ไล่ออกหนุ่มเก๋งมิตซูสีเหลือง"...เหมาะสมหรือเกินกว่าเหตุ?
กรณีศึกษาน่าสนใจเกี่ยวกับการที่หนุ่มขับเก๋งมิตซูสีเหลืองโชว์กร่างบนถนนจนต้องถูกออกจากงาน
โดย...อินทรชัย พาณิชกุล
บางครั้งอารมณ์ชั่ววูบ อาจทำให้ชีวิตพังไม่เป็นท่า
กรณีข่าวชายหนุ่มขับเก๋งมิตซูบิชิสีเหลืองก่อเหตุปาดหน้า พร้อมข่มขู่คู่กรณี ก่อนเสียหลักพุ่งชนเกาะกลางถนน ก่อให้เกิดกระแสก่นด่าสาปแช่งอย่างรุนแรงในโลกโซเชียล ต่อมาบริษัทต้นสังกัดของชายรายนี้ได้ออกมาประกาศผ่านหน้าเฟซบุ๊กว่า ได้ลงโทษด้วยการให้พ้นสภาพจากการเป็นพนักงาน โดยให้เหตุผลว่าประพฤติตัวไม่เหมาะสม สร้างความเสื่อมเสียให้กับองค์กร
คำถามเกิดขึ้นตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าหนุ่มคนนี้ต้องออกจากงาน เพราะทำผิดระเบียบข้อบังคับของบริษัท หรือเพราะสังคมกดดันกันแน่
วิรัช หวังปิติพาณิชย์ ทนายความชื่อดัง มองว่า กรณีที่เกิดขึ้นยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนว่าชายหนุ่มขับเก๋งมิตซูสีเหลืองมีความผิดในคดีอาญาข้อหาใดบ้าง เนื่องจากอยู่ในระหว่างเชิญตัวทั้งสองฝ่ายมาเจรจา และยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหาแต่อย่างใด แต่การถูกให้พ้นสภาพจากการเป็นพนักงาน ก็ต้องดูว่าเป็นการลาออกเอง ถูกให้ออก หรือถูกไล่ออก ที่สำคัญได้รับความเป็นธรรมหรือไม่
ผู้สื่อข่าวจึงโทรศัพท์สอบถามไปยังบริษัท มิตซูรุ่งเจริญ สาขาเทพารักษ์ ต้นสังกัด ได้รับชี้แจงว่าพนักงานคนดังกล่าวได้แสดงเจตจำนงขอลาออกเอง
"ลาออก ให้ออก และไล่ออก ผลต่างกันนะ มีผลต่อการได้รับเงินชดเชยจากกฎหมายแรงงานด้วย"ทนายความชื่อดังอธิบาย
ทั้งนี้ พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานพ.ศ. 2541 ระบุไว้ว่า คำว่า 'เลิกจ้าง' หมายถึง การกระทำที่นายจ้างไม่ให้ลูกจ้างทำงานต่อและไม่จ่ายค่าจ้างให้ นายจ้างมีสิทธิ์ที่จะเลิกจ้างได้ แต่การถูกเลิกจ้างโดยที่นายจ้างจะไม่จ่ายเงินค่าชดเชย มีอยู่ 6 ข้อ ประกอบด้วย
(1) ทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้าง เช่น ทำร้ายร่างกาย ลักทรัพย์ ยักยอกเงิน
(2) จงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย
(3) ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้นายจ้างได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง
(4) ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือระเบียบหรือคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรม และนายจ้างได้ตักเตือนเป็นหนังสือแล้ว เว้นแต่กรณีที่ร้ายแรงนายจ้างไม่จำเป็นต้องตักเตือน หนังสือเตือนให้มีผลบังคับได้ไม่เกินหนึ่งปีนับแต่วันที่ลูกจ้างได้กระทำผิด
(5) ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลาสามวันทำงานติดต่อกันไม่ว่าจะมีวันหยุดคั่นหรือไม่ก็ตามโดยไม่มีเหตุอันสมควร
(6) ได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
"ความน่าสนใจอยู่ตรงที่ข้อ 4 การฝ่าฝืนข้อบังคับหรือทำผิดกฎระเบียบที่นายจ้างกำหนดไว้ หากเป็นความผิดไม่ร้ายแรง ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย ต้องมีการเตือนก่อน ถ้าลูกจ้างทำผิดซ้ำภายในหนึ่งปีก็สามารถให้ออกได้เลยโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย แต่หากทำผิดร้ายแรงก็สามารถให้ออกได้ทันทีโดยไม่ต้องเตือน การเตือนนั้นต้องทำเป็นหนังสือ จึงจะมีผลทำให้นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างที่ทำผิดซ้ำได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย หากเตือนด้วยวาจาจะมีผลทางจิตวิทยาหรือทางบริหาร แต่ไม่มีผลให้เลิกจ้างลูกจ้าง หนังสือเตือนต้องระบุการกระทำความผิดของลูกจ้างอย่างชัดเจน เช่น ลูกจ้างทำผิดอะไร เมื่อไหร่ อย่างไร ที่ทำให้ลูกจ้างเข้าใจได้ หนังสือเตือนต้องมีข้อความห้ามลูกจ้างกระทำผิดอีก หากทำผิดอีกจะลงโทษ นายจ้างต้องแจ้งหนังสือเตือนลูกจ้างทราบด้วยการให้ลูกจ้างลงลายมือชื่อรับทราบ หรืออ่านให้ลูกจ้างทราบหรือส่งให้ลูกจ้าง ณ ภูมิลำเนาของลูกจ้าง
ถามว่าแบบไหนคือกระทำผิดร้ายแรง แต่ละบริษัทสถานประกอบการมีความรุนแรงแตกต่างกัน เช่น บริษัทห้ามพนักงานสูบบุหรี่ในเวลางาน ถ้าเป็นบริษัททั่วไปอาจจะผิดแต่ไม่รุนแรงถึงขั้นต้องไล่ออก แต่ถ้าเป็นคนงานสูบบุหรี่ในโรงงานกระดาษ โรงกลั่นน้ำมันจะรุนแรงทันที หรือพนักงานขับรถที่ดื่มเหล้าในเวลางาน เป็นต้น ส่วนเรื่องกระทำความเสื่อมเสียชื่อเสียงบริษัท ก็แล้วแต่ระเบียบข้อบังคับของบริษัทนั้นๆ"
สมภพ ปราบณรงค์ ผอ.กองนิติการ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เผยว่า ที่ผ่านมากรณีแบบนี้ไม่ค่อยตกเป็นข่าว ส่วนใหญ่ลูกจ้างและนายจ้างสามารถตกลงกันได้ ไม่ถึงขั้นฟ้องร้องขึ้นโรงขึ้นศาล อย่างไรก็ตาม หากลูกจ้างรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ก็มีสิทธิจะร้องเรียนได้ 2 ทาง คือ ฟ้องศาลแรงงาน และยื่นเรื่องต่อกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ซึ่งจะใช้ระยะเวลาดำเนินการสอบสวนประมาณ 60 วัน
ธิดารัตน์ อริยะประเสริฐ ที่ปรึกษาอาวุโส บริษัทที่ปรึกษาเอพีเอ็ม กรุ๊ป ผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ กล่าวว่า เวลาเกิดปัญหาพนักงานกระทำความผิดต่อองค์กร ส่วนใหญ่จะไม่ใช่กฎหมายมาบังคับลงโทษ แต่จะใช้วิธีเรียกคุยทำความเข้าใจเพื่อหาทางออก เพราะนายจ้างมักมองว่าไม่คุ้มค่าหากจะปล่อยให้เรื่องถึงขั้นฟ้องร้องดำเนินคดี
"แต่ละองค์กรจะมีการกำหนดระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับเรื่องสิทธิของพนักงานว่าอะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ เหมือนเป็นรัฐธรรมนูญบริษัทเลย บางบริษัทจะออกคู่มือให้พนักงานใหม่ทำความเข้าใจก่อนเริ่มงาน ช่วง 4-5 ปีมานี้ สิงที่เห็นเหมือนกันหมดคือ บริษัทใหม่ๆที่ทันสมัยมักจะเพิ่มกฎเกี่ยวกับการห้ามไม่ให้พนักงานกระทำการใดๆที่จะทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์องค์กร เนื่องจากโลกยุคปัจจุบันมีสื่อสังคมออนไลน์ที่รวดเร็ว
สิ่งที่อยากจะฝากไว้ก็คือ ยุคนี้เป็นยุคโซเชียลเน็ตเวิร์ก ทุกอย่างเชื่อมโยงถึงกันหมด พนักงานทุกคนที่มีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก แสดงความเห็น อาจขาดการไตร่ตรอง ไม่ค่อยระมัดระวัง อย่าลืมว่าผลกระทบทั้งทางบวกทางลบจะส่งผลกลับมาหาเราอย่างแน่นอน ขณะเดียวกันบริษัทเอง ฝ่าย HR ก็ถือเป็นส่วนสำคัญในการกำหนดระเบียบการทำงานของพนักงาน ปัญหาคือจะสื่อสารอย่างไรให้พนักงานรู้สึกดี ไม่เครียด อึดอัด อาจใช้วิธีสร้างแรงบันดาลใจ ด้วยข้อความดีๆ ทำนอง DO and Don't อะไรควรทำ ทำแล้วพนักงานมีความสุข เกิดภาพลักษณ์ที่ดีต่อองค์กร ก็ควรสนับสนุน อะไรไม่ควรทำ ทำแล้วบริษัทเสียหาย พนักงานเองก็เสียหาย ภาษา HR เรียกว่ากำหนดวัฒนธรรมองค์กร มากกว่าจะออกเป็นกฎเหล็ก ระเบียบเข้มงวด จับผิดอย่างเดียว ห้ามนู่นห้ามนี่ จนทำให้พนักงานรู้สึกว่ากำลังถูกละเมิดสิทธิ์และไม่อยากอยู่อีกต่อไปแล้ว"
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้น่าจะเป็นกรณีศึกษาอันล้ำค่าให้แก่ทุกคนว่า ทุกการกระทำของเราในชีวิตประจำวัน อาจส่งผลกระทบต่อชีวิตและหน้าที่การงานอย่างคาดไม่ถึง


