posttoday

ผู้ประกอบการสื่อค้านออกกม.คุมชี้แนวโน้มเสรีภาพถูกริดรอน

03 กรกฎาคม 2558

ผู้ประกอบการสื่อฯค้านรัฐออกกฎหมายควบคุม หนุนมีองค์กรดูแลกันเอง นักกฎหมายชี้สื่อขยายสู่ออนไลน์มีแนวโน้มถูกริดรอนเสรีภาพมากขึ้น

ผู้ประกอบการสื่อฯค้านรัฐออกกฎหมายควบคุม หนุนมีองค์กรดูแลกันเอง นักกฎหมายชี้สื่อขยายสู่ออนไลน์มีแนวโน้มถูกริดรอนเสรีภาพมากขึ้น

เมื่อวันที่ 3 ก.ค. สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ได้จัดสัมมนาเรื่อง “ความอยู่รอดและความท้าทายของสื่อไทย” เนื่องในโอกาสครบรอบ 18 ปี ณ ห้องประชุมอิศรา อมัตกุล ชั้น 3 อาคารสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย โดยเชิญตัวแทนผู้ประกอบแสดงทัศนะต่อเรื่องดังกล่าว

นายศุภกรณ์ เวชชาชีวะ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท โพสต์ พับลิชชิ่ง กล่าวว่า ยุคปัจจุบันสื่อสิ่งพิมพ์ถือว่ามีความท้าทาย เพราะต้องประสบกับวิกฤตจนเรียกว่าเคยชิน ยอดขายหนังสือพิมพ์ตก ผู้ลงโฆษณาก็ไม่อยากลงโฆษณา ยิ่งมีแอพพลิเคชั่นต่างๆเกิดขึ้น ทำให้โฆษณาหายไป ทำให้จำเป็นต้องมีการทำข่าวออนไลน์ให้ดี เพิ่มเรื่องภูมิภาค และเติมเป็นภาษาอังกฤษ พร้อมทั้งทำหนังสือแจกฟรีเพื่อเรียกโฆษณา

สิ่งสำคัญที่สุด คือ การอยู่รอด หากประชาชนไม่เชื่อมั่นข่าวนำเสนอ ก็ไม่สามารถอยู่ได้ และการมองว่าเจ้าของหนังสือพิมพ์เป็นผู้ร้ายหมดก็ไม่ถูกต้อง เพราะนายทุนหลายคนเคยอยู่ในหนังสือพิมพ์ แต่สิ่งที่ผู้บริหารพยายามทำมีจุดยืนชัดเจน ก่อนที่ทุกคนเข้ามาทำงานในหนังสือพิมพ์

“การปฏิรูปหรือจำกัดสิทธิ ไม่ค่อยถูกต้อง แต่ควรกลับไปดูองค์กรมีจุดยืนอย่างไร และการทำข่าวตัวนักข่าวต้องมีจรรยาบรรณและจุดยืนชัดเจน เพราะไม่ว่าใครเป็นเจ้าของก็สามารถเดินต่อไปได้”นายศุภกรณ์ กล่าว

ด้าน นายสมนึก กยาวัฒนกิจ กรรมการผู้อำนวยการ หนังสือพิพม์ตงฮั้ว กล่าวว่า ธุรกิจเปิดมา 50 ปี ส่วนตัวได้บริหารมา 30 ปี เคยโดนข้อหาคอมมิวนิสต์จากรัฐบาล ทั้งนี้ เคยมีผู้บอกว่าหนังสือพิมพ์จีนจะไปไม่รอด เพราะคนอ่านลดลงและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับประเทศจีนไม่ดี

ทว่า สถานการณ์วันนี้เปลี่ยนไป เพราะประเทศจีนมีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจในประเทศอาเซียนและคนไทยเรียนภาษาจีนมากขึ้น รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านของไทยมีผู้ที่สื่อสารภาษาจีนจำนวนมาก ดังนั้น มุมมองที่ต้องใช้ คือ การมองภาพที่ไปไกลกว่าเศรษฐกิจภายในประเทศไทย

ส่วนความรอดของกิจการต้องปรับเปลี่ยน เช่น ทำเนื้อหาของตัวเองและ ตอบสนองกลุ่มเป้าหมาย ไม่ใช่ไปถือไมโครโฟนจ่อปากพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้าคสช. ให้ด่าเรื่องต่างๆ ขณะเดียวกันก็ต้องรักษากลุ่มเก่าในหนังสือพิมพ์ และรุ่นใหม่ไปพร้อมๆกัน

“การกำกับดูแลสื่อฯ หรือการตั้งองค์กรมาดูแลสื่อ ถือว่าน่าเป็นห่วงของพวกเรา หนังสือพิมพ์ตงฮั้วเคยโดนปิด 2 ครั้งและยัดเยียดข้อหาคอมมิวนิสต์ ซึ่งเป็นภาพของการการทำงานที่น่ากลัวที่รัฐต้องการให้องค์กรใดมาดูแลพวกเรา ทั้งนี้ผมสนับสนุนการกำกับกันเองให้ได้ ต้องระวังและช่วยกันอย่าให้มีกฎหมายให้อำนาจคนนอกวงการ หรือหน่วยงานใดมาสั่งปิดพวกเราได้ รวมถึงให้ประชาชนเป็นผู้ที่เข้ามาดูแลสื่อฯ อีกทางด้วย”นายสมนึก กล่าว

น.ส.วริษฐา ภักดี เจ้าของและบรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ จ.ลำปาง กล่าวว่า มีหนังสือพิมพ์ 12 ฉบับในพื้นที่ ส่วนใหญ่เป็นรายสัปดาห์ แต่ความท้าทายเกิดจากวิกฤตเมื่อ 4 ปีที่แล้ว จึงปรับรากฐานนำเสนอข่าวโดยเน้น สังคม ชุมชน ทำให้ สามารถปรับตัวให้อยู่รอดได้

อย่างไรก็ดี การนำเสนอจำต้องมีสาระ ถูกต้อง รอบด้าน เพื่อตอบชุมชน พร้อมทั้งปรับวิธีบริหารโดยให้คนหนึ่งสามารถทำได้หลายอย่าง เพราะต้นทุนหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นมีไม่มาก จะให้ร่ำรวยยากมาก ดังนั้น ต้องอาศัยใจรัก แต่หากบริหารไม่สมดุลก็ไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น ต้องปรับให้เหมาะสม ด้วยการนำเสนอข่าวชุมชนมากขึ้น หรือเรื่องที่ชุมชนชินและเฉยชา เจาะลึกเพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหา ไม่ใช่เสนอข่าวเพื่อเร้าอารมณ์ แต่ ไม่ใช่ไม่สนใจเลย เพื่อให้เกิดคุณค่าและได้รับการสนับสนุนอย่างพอมีพอกิน

นายวริษ ลิ้มทองกุล ผู้อำนวยการเว็บไซด์ เอเอสทีวีผู้จัดการ กล่าวว่า ปัญหาของสื่อที่ท้าทาย คือ ไม่รู้อนาคตว่าเทคโนโลยี เปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง รวมถึงสภาวะสื่อจะเป็นอย่างไร จนเกิดการแย่งประมูลทีวีดิจิทัลอย่างที่ผ่านมา ยกตัวอย่าง สามจี ทำให้เฟซบุ๊ก ไลน์ คนใช้ไม่กี่ล้าน มาเป็น 30 ล้านคน ทุกวันนี้ยูทูป มีรายได้หลายร้อยล้านต่อปี เพราะฉะนั้น ความท้าทายปลายปี เมื่อมีการประมูล 4จี ทีวีดิจิทัลคนจะดูน้อยลง

ทั้งนี้ เพราะคนจะมาติดตามข่าวสารผ่านทางสมาร์ทโฟนมากขึ้น ดังนั้น อำนาจเปลี่ยนแปลง จะไปอยู่ที่ผู้บริโภค จำเป็นต้องเปลี่ยวแนวคิดการทำข่าว เพื่อเอาใจผู้บริโภคมากขึ้นด้วย นอกจากนั้น ดุลอำนาจของสื่อฯ จะเปลี่ยนไปเป็นของต่างชาติมากขึ้น เพราะเจ้าของเว็บไซต์ เช่น ยูทูป , กูเกิ้ล ต่างชาติเป็นผู้กำกับและถือครอง ดังนั้น การตัดสินใจให้ข่าวหรือคลิปข่าวของไทยแสดงให้คนอื่นดู จะอยู่ที่การตัดสินใจในส่วนดังกล่าว

“น่าเป็นห่วง คือ ครองสิทธิข้ามสื่อ ตัวกฎหมายยังไม่เข้าใจธรรมชาติ ยกตัวอย่าง ละเมิดสิทธิเด็ก ภาพสื่อหลักไม่ลง แต่โซเชียล ไลน์ เฟซบุ๊ก อินสตาแกรม มีการลงรูป แต่โซเชียลไม่โดน หากเป็นสื่อหลักโดน ต้องยอมรับว่าสื่อปัจจุบันมีความรับผิดชอบสูงมาก และถ้าจะคุมต้องเท่าเทียมกัน สื่อไม่ได้ตอบสนองธุรกิจอย่างเดียว แต่ตอบสนองอุดมการณ์ด้วย หากกฎหมายยังมุ่งคุมสื่ออย่างเดียว โดยไม่เข้าไปมุมอื่นด้วยก็ลำบาก”นายวริษ กล่าว

นายไพบูลย์ อมรภิญโญเกียรติ ที่ปรึกษาด้านกฎหมายสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ กล่าวว่า สื่อที่ขยายไปสู่ระบบออน์ไลน์ ทำให้สื่อ​อยู่ยากมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ข่าว ภาพข่าว ที่มีทุกวัน ขณะที่กฎหมายของไทยไม่เอื้อต่อการดำเนินงานดังกล่าว เช่น พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ ที่มีผลบังคับใช้ในวันที่ 4 ส.ค. 2558 ที่วางหลักเกณฑ์การบริหารสิทธิที่สื่อ​นำข้อมูลจากที่อื่น ที่ไม่ได้อ้างอิงแหล่งที่มา​จะมีโทษปรับและจำคุก

อย่างไรก็ตาม สิทธิเสรีภาพของสื่อไทยจะถูกริดรอนมาก หลังมีโซเชียลมีเดียมากขึ้น เพราะรัฐจะมีการออกกฎหมายเพื่อมาจำกัดสิทธิ เช่น พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์, ร่างพ.ร.บ.ความมั่นคงไซเบอร์ โดยรัฐจะไม่ได้มองว่าการนำเสนอ หรือการโพสต์ด่ารัฐบาลนั้นเป็นเรื่องของบุคคล หรือ นาย ก. แต่จะมองว่าเป็นเรื่องของสื่อ​ทั้งหมด ดังนั้น แนวโน้มของเสรีภาพสื่อจะถูกริดรอนและถูกจำกัดมากขึ้น

ผู้ประกอบการสื่อค้านออกกม.คุมชี้แนวโน้มเสรีภาพถูกริดรอน

 

ข่าวล่าสุด

ประชาธิปัตย์เปิด100ชื่อผู้ผ่านด่านสส.บัญชีรายชื่อ เลือกตั้ง69