"อาหาร5หมู่"...เพื่อชีวิตดี๊ดีของเด็กสลัม
ส่องสถานการณ์ “อาหาร” เด็กในสลัม เพราะโภชนาการคือพื้นฐานของอนาคตที่ดี
โดย...วรรณโชค ไชยสะอาด
"โอกาสในการเข้าถึงสารอาหาร" คือสิ่งที่เด็กทุกคนควรได้รับ ไม่เว้นแม้กระทั่งในสลัม..หรือชุมชนกองขยะ..
กว่า 34 ปีที่ผ่านมา มูลนิธิเด็กอ่อนในสลัมในพระอุปถัมภ์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ ได้ช่วยเหลือและดูแลเด็กๆ ปีละกว่า 600 คน ให้พวกเขาได้รับการดูแลที่ใกล้เคียงหรือเทียบเท่ากับเด็กทั่วไปในทุกๆด้าน โดยเฉพาะด้านโภชนาการที่นับเป็นพื้นฐานสำคัญของการเจริญเติบโต
น่าสนใจตรงที่อาหารและโภชนาการของเด็กๆในวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง...
5 มื้อ 5 หมู่ต่อวัน
เป้าหมายสูงสุดของมูลนิธิเด็กอ่อนในสลัม ในพระอุปถัมภ์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ มีจุดประสงค์เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กอ่อนวัย 0-5 ปี ในชุมชนแออัด ทั้งเด็กไทยและเด็กต่างด้าว โดยดำเนินการผ่านบ้านเด็กอ่อน 4 หลัง ได้แก่ บ้านสมวัย (ชุมชนคลองเตย) บ้านศรีนครินทร์ (ชุมชนกองขยะหนองแขม) บ้านเสือใหญ่ (ชุมชนเสือใหญ่ประชาอุทิศ) และบ้านแห่งความหวัง (ชุมชนกองขยะอ่อนนุช)
ครูต้อ-ศีลดา รังสิกรรพุม ผู้จัดการมูลนิธิเด็กอ่อนในสลัมฯ เผยว่า เด็กๆเหล่านี้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ด้อยโอกาส พ่อเเม่ไม่มีเวลาเลี้ยงดู ขณะที่อีกหลายคนอาศัยอยู่กับญาติหรือคนข้างบ้าน ชีวิตความเป็นอยู่เฉียดใกล้คำว่าสมบูรณ์พูนสุข
"ความเป็นอยู่แบบนั้นสุ่มเสี่ยงเหลือเกินกับการที่พวกเขาจะไม่ได้รับสารอาหารที่สะอาดและเพียงพอต่อการเจริญเติบโตที่ดีในช่วงวัยที่สำคัญ ถ้าปล่อยให้เขาอยู่บ้าน ครอบครัวที่ไม่มีเงินก็ไม่ได้กินอาหารที่เพียงพอ ส่วนเด็กที่มีเงินก็อาจนำไปซื้อขนม ลูกอม หรือของที่ไม่มีประโยชน์ ฉะนั้นระยะเวลาที่เด็กอยู่ในความดูแลของบ้านมูลนิธิฯ เราจะจัดสรรอาหารที่ดีที่สุดให้กับเขา"
ครูต้อ เล่าว่ามูลนิธิให้ความสำคัญกับโภชนาการของเด็กมาก โดยเด็กอายุระหว่าง 6 เดือน ถึง 1 ปี จะได้รับอาหารเสริมที่เหมาะสมตามวัย ส่วนเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป จะได้รับอาหารวันละ 5 มื้อ แบ่งเป็นมื้อหลัก 3 มื้อ มีสารอาหารครบทั้ง 5 หมู่ และอาหารว่าง 2 มื้อ ซึ่งเป็นอาหารมื้อเบาๆอย่างนมและผลไม้
"บางคนไม่ชอบกินผัก เพราะพ่อแม่ไม่เคยหัดให้กิน ให้กินแต่พวกหมูปิ้งหรือโจ๊ก เราก็จำเป็นปรับแต่งเมนูให้เด็กๆกินง่าย แต่ได้ประโยชน์ ฝึกให้พวกเขากินเป็นและเข้าใจความสำคัญของการกิน"
ขณะเดียวกันมูลนิธิฯ ประเมินพัฒนาการและการเจริญเติบโตของเด็กทุกเดือน โดยดูน้ำหนัก ส่วนสูง และพัฒนาการในการเรียนรู้อย่างสม่ำเสมอ หากพบว่าเด็กคนใดมีปัญหา จะทำการกระตุ้นโดยเพิ่มสารอาหารที่เหมาะสมให้กับเขา
ค่าใช้จ่ายต่อหัวที่สูงถึงวันละ 100 บาท ไม่ใช่ปัญหาถ้าเทียบกับอนาคตที่ดีของเด็กๆ
"แม้แต่ละปีมูลนิธิจะมีค่าใช้สูงมากในการดูแลเด็กๆ แต่เราก็จะพยายามทำเต็มที่เพื่อให้พวกเขาได้เติบโตอย่างมีคุณภาพ ทัดเทียมกับเด็กคนอื่นๆโดยเฉพาะเรื่องของอาหารซึ่งเป็นพื้นฐานของคุณภาพชีวิตที่ดีในอนาคต"ผู้จัดการมูลนิธิเด็กอ่อนในสลัมฯ กล่าว
0-5 ขวบ=โอกาสทองของการพัฒนา
บทบาทของอาหารและโภชนาต่อเด็กก่อนวัยเรียนนั้นเป็นเรื่องสำคัญที่พ่อแม่ผู้ปกครองจะละเลยไม่ได้เป็นอันขาด
สง่า ดามาพงษ์ ที่ปรึกษากรมอนามัยและผู้จัดการศูนย์ประสานงานโครงการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะด้านอาหารและโภชนาการเพื่อเด็กไทยมีโภชนาการสมวัย อธิบายว่า เด็กวัยก่อนเรียนหรือช่วงแรกเกิดถึง 5 ขวบนั้นอยู่ระหว่างการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วเมื่อเปรียบเทียบกับวัยอื่นๆ ซึ่งการเจริญเติบโตจำเป็นต้องได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนและอยู่ในสัดส่วนเหมาะสม เพื่อให้ร่างกายและสติปัญญา พัฒนาเติบโตเต็มตามศักยภาพ
สิ่งสำคัญที่ต้องไม่ลืม นั่นคือสารอาหารที่เด็กต้องรับประทานในวัยนี้ต้องได้รับคาร์โบไฮเดรตจากข้าว โปรตีนจากเนื้อสัตว์ ถั่วเมล็ดแห้ง วิตามิน แร่ธาตุจากผักผลไม้ รวมทั้งไขมันจากน้ำมันพืชและสัตว์
"หากเด็กวัยนี้ได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วน เช่น ขาดวิตามิน แร่ธาตุ หรือโปรตีน จะทำให้เตี้ยแคระแกรน มีผลทำให้สติปัญญาด้อยกว่าเด็กคนอื่นที่ได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอ ฉะนั้นผู้ปกครองจำเป็นต้องมีการดูแลอย่างใกล้ชิด ให้พวกเขาสามารถเข้าถึงอาหารที่ครบถ้วนทั้ง 5 หมู่ได้"
ทั้งนี้ ปัญหาทางโภชนาการของเด็กหนีไม่พ้นความอ้วน เนื่องจากแต่ละวันเด็กๆได้รับน้ำตาลและแป้งมากเกินไป ทำให้เด็กอ้วน สวนทางกับสัดส่วนของแร่ธาตุวิตามินที่ได้รับจากผักและผลไม้นั้นกลับน้อยจนมีปัญหา
"เด็กกินผักน้อยมาก จากสัดส่วนที่เหมาะสมคือ 12 ช้อนต่อวัน แต่เด็กกินเพียงวันละประมาณช้อนครึ่งเท่านั้น เมื่อกินผักไม่เพียงพอ ร่างกายก็พร่องวิตามินและแร่ธาตุ มีผลทำให้ภูมิคุ้มกันต่ำ มีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งในวัยผู้ใหญ่ต่อไป อีกเรื่องที่น่าเป็นห่วงคือเด็กสลัมที่พ่อแม่มีเวลาเลี้ยงดู เด็กหลายคนมักนำเงินที่ได้รับจากพ่อแม่ไปซื้อขนมกรุบกรอบ น้ำอัดลม จนกินอาหารมื้อหลักได้น้อยลง และเท่ากับว่า ได้รับสารอาหารหลักไม่เพียงพอ
ธนาคารอาหารเพื่อน้อง ยกระดับคุณภาพชีวิต
ปัจจุบันมีบรรดาหน่วยงานเอกชน บริษัทห้างร้าน แม้กระทั่งเหล่าศิลปินดารามากหน้าหลายตาช่วยกันหยิบยื่นโอกาสทางด้านอาหารให้แก่เด็กๆในชุมชนแออัดมากขึ้น
เช่นเดียวกับ บิ๊กซี ห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ก็ได้แบ่งปันโอกาสให้เด็กๆ ภายใต้โครงการ “ธนาคารอาหารเพื่อน้อง”
วารุณี กิจเจริญพูลสิน ผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ บริษัทบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวรอยยิ้มว่า แรงบันดาลใจที่จะยกคุณภาพชีวิตของเด็กๆในด้านโภชนาการ มาจากการลงพื้นที่พบว่าความเป็นอยู่ของชุมชนโดยรอบมูลนิธิเด็กอ่อนในสลัมฯ ทั้ง 4 แห่งเป็นไปอย่างยากลำบาก และไม่เอื้ออำนวยต่อโภชนาการที่ดีของเด็กๆ จึงควรจัดสรรอาหารที่ถูกสุขลักษณะให้พวกเขา
"เราไม่ได้เอาข้าวสาร นม ปลากระป๋อง หรืออาหารเเห้งอื่นๆมาให้จนเกินความจำเป็น เเต่เราพบว่ามูลนิธิฯต้องการปัจจัยที่สามารถนำไปเเลกซื้ออาหารชนิดต่างๆที่ตัวเองต้องการได้ในเเต่ละวัน โดยทุกเดือนบริษัทได้ทำการเปิดวงเงินขึ้นมาจำนวน 1 หมื่นบาท ให้มูลนิธิจัดสรรค์วัตถุดิบนำประกอบอาหารด้วยตัวเอง และหลังจากครบรอบ 1 ปี บริษัทจะทำการประเมิณผลความสำเร็จอีกครั้ง คาดว่าจะมีการขยายเวลา รวมทั้งขยายความช่วยเหลือไปยังพื้นที่ชุมชนแออัดอื่นๆ ด้วย
สิ่งที่เราตั้งใจคือยกคุณภาพชีวิตของเด็กๆ ในด้านโภชนาการ เพราะพัฒนาการของเด็กทั้งทางด้านร่างกาย สมองและจิตใจ ตั้งเเต่เเรกเกิดถึง 5 ขวบนั้นสำคัญมาก หากได้ รับสารอาหารที่ดีครบถ้วน คุณภาพชีวิตเเละสุขภาพของพวกเขาก็จะดีอย่างเเน่นอน"
คนละไม้คนละมือที่หยิบยื่นโอกาสในการเข้าถึงสารอาหารให้แก่เด็กๆในชุมชนแออัด นับเป็นก้าวเล็กๆทว่ามั่นคงที่จะนำไปสู่อนาคตที่ดีของเด็กๆได้.


