ดร.วิรไท สันติประภพ
เห็นรายชื่อผู้สมัครเข้ารับการคัดสรรให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยสืบแทน ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล
โดย...วิมลพรรณ ปีตธวัชชัย
เห็นรายชื่อผู้สมัครเข้ารับการคัดสรรให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยสืบแทน ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ที่กำลังจะเกษียณอายุในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าแล้ว ชื่อของ ดร.วิรไท สันติประภพ นักเศรษฐศาสตร์ผู้มากความสามารถดูจะโดดเด่น และมีคุณสมบัติเหมาะสมทุกประการที่จะได้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนต่อไป ซึ่งดูจะเป็นเกียรติเป็นศรีสำหรับธนาคารแห่งประเทศไทยและชาติบ้านเมืองไม่น้อยเลย
ดร.วิรไท สันติประภพ เกิดเมื่อวันที่ 25 ธ.ค. 2512 เป็นบุตรในจำนวนพี่น้อง 3 คนของ พล.ต.อ.ประทิน และกุณฑลาสันติประภพ มีคุณปู่-คุณย่าชื่อ ประธานและหวน ก้อนแก้ว เป็นคน อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา ส่วนคุณตา-คุณยาย เป็นคนกรุงเทพฯ คือ พล.ต.พระยาพิชัยรณรงค์สงคราม (ทองดี จารุทัต) และคุณหญิงบุปผา พิชัยรณรงค์สงคราม โดยนามสกุล สันติประภพ ของ พล.ต.อ.ประทิน อดีตอธิบดีกรมตำรวจ เป็นนามสกุลพระราชทานที่ได้รับพระมหา กรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ พระราชทานให้แก่ พล.ต.อ.ประทิน ในภายหลังเมื่อแต่งงานแล้ว
ดร.วิรไท สันติประภพ จบการศึกษาชั้นต้นจากโรงเรียนสาธิตปทุมวัน สามารถสอบเทียบจากชั้น ม.4 ไปเรียนชั้น ม.6 และสอบเข้าเรียนคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ด้วยคะแนนที่สูงมาก จบปริญญาตรีเศรษฐศาสตร์ เกียรตินิยม อันดับ 1 ด้วยคะแนนสูงสุดทำลายสถิติของมหาวิทยาลัย จนคณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ต้องจารึกไว้ ทั้งยังได้เหรียญทองทางด้านวิชาการ 4 เหรียญ ด้านช่วยเหลือกิจกรรมดีอีก 1 เหรียญ ได้รับพระราชทานทุนภูมิพลตลอดระยะเวลาที่เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และเป็นบัณฑิตเศรษฐศาสตร์ในวัยเพียง 18 ปีเศษ
หลังจบปริญญาตรีก็ได้รับพระราชทานทุนอานันทมหิดล ไปศึกษาต่อระดับปริญญาโทและปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัย Harward สหรัฐอเมริกา จบปริญญาเอกสาขาเศรษฐศาสตร์เมื่อมีอายุได้ 24 ปี ก่อนจบการศึกษาได้ทำวิทยานิพนธ์ เรื่องการเปิดเสรีทางการเงินในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Financial Liberization in Southeast Asia) กับ Dwight perkins นักเศรษฐศาสตร์ระดับตำนานอีกคนหนึ่งของมหาวิทยาลัย Harward
ดร.วิรไท เริ่มทำงานในฐานะนักเศรษฐศาสตร์ที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. มีหน้าที่ให้คำปรึกษารัฐบาลและธนาคารกลางของประเทศสมาชิก โดยเฉพาะประเทศที่ประสบปัญหาวิกฤตด้านเศรษฐกิจและวิกฤตสถาบันการเงิน ทำงานครอบคลุมหลายประเทศในเอเชีย ตะวันออกกลาง ยุโรปตะวันออก และแอฟริกา นอกจากนี้ ยังได้ทำงานวิจัยเกี่ยวกับบทบาทของธนาคารกลางและการดำเนินนโยบายการเงินในมิติต่างๆ
เมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจไทยในปี 2540 ดร.วิรไทได้ลาพักจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ กลับมาเป็นผู้อำนวยการร่วม สถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง มีบทบาทหลักในการผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและมาตรการแก้ไขปัญหาระบบสถาบันการเงินสำคัญหลายมาตรการ อาทิ มาตรการเพิ่มทุนสถาบันการเงินตามโครงการ 14 ส.ค. 2541 การจัดการสถาบันการเงินที่ถูกทางการแทรกแซง การกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยโครงการ Miyazawa รวมทั้งเจรจาต่อรองกับรัฐบาลประเทศต่างๆ และองค์กรระหว่างประเทศหลายแห่ง เพื่อจัดทำโครงการให้ความช่วยเหลือประเทศไทยในช่วงที่มีทุนสำรองระหว่างประเทศจำกัด
ในด้านการธนาคาร ดร.วิรไท ได้ร่วมงานกับธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ระหว่างปี 2543-2551 ในช่วงที่ธนาคารพาณิชย์ปฏิรูปองค์กรขนานใหญ่หลังจากวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ได้ทำงานในหลายส่วนของธนาคารจนเข้าใจกลไกการทำงานของธนาคารพาณิชย์เป็นอย่างดี ทั้งการบริหารสภาพคล่อง การบริหารสินทรัพย์และหนี้สิน การกำหนดนโยบายสินเชื่อ การบริหารเงินลงทุน การจัดการกลุ่มธุรกิจการเงินผ่านบริษัทลูกๆ ของธนาคาร การปรับปรุงกระบวนการทำงาน ดร.วิรไท ดำรงตำแหน่งสุดท้ายเป็น ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ สายกลยุทธ์ลูกค้าธุรกิจ ซึ่งรับผิดชอบดูแลลูกค้าธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด นอกจากนี้ ดร.วิรไท ยังเคยดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการอิสระและกรรมการบริหารความเสี่ยงของบริษัท ทุนธนชาต ด้วย
ในด้านตลาดทุน ดร.วิรไท ได้ร่วมงานกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ระหว่างปี 2552-2556 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ปฏิรูปองค์กรในหลายส่วน โดยดำรงตำแหน่งเป็น รองผู้จัดการสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ดร.วิรไท เป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนแผนปฏิรูปตลาดหลักทรัพย์ฯ จัดทำแผนพัฒนาตลาดทุนของประเทศ พัฒนางานวิจัยด้านตลาดทุนเชิงลึก ผลักดันให้ตลาดหลักทรัพย์ไทยได้รับการยอมรับในเวทีตลาดทุนโลกหลายเวที และสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับตลาดหลักทรัพย์ในภูมิภาคอาเซียน
ในด้านกิจกรรมเพื่อสังคม ดร.วิรไท ได้ทำงานเพื่อสังคมมาอย่างต่อเนื่อง และได้ทำมากขึ้นหลังจากที่ครบวาระการดำรงตำแหน่งผู้บริหารของตลาดหลักทรัพย์ฯ ดร.วิรไทให้ความสำคัญกับงานด้านการศึกษา การพัฒนาชนบทเชิงพื้นที่ และพุทธศาสนา โดยเป็นกรรมการของมูลนิธิอานันทมหิดล แผนกธรรมศาสตร์ ประธานชมรมผู้รับพระราชทานทุนมูลนิธิอานันทมหิดล กรรมการและเหรัญญิกของมูลนิธิปิดทองหลังพระสืบสานแนวพระราชดำริ กรรมการบริหารของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงในพระบรมราชูปถัมภ์ กรรมการของมูลนิธิมั่นพัฒนา และกรรมการบริหารของหอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ นอกจากนี้ ดร.วิรไทได้รับแต่งตั้งจากคณะกรรมการบริหารขององค์การอนามัยโลก ณ กรุงเจนีวา ให้เป็นกรรมการกำกับดูแลกิจการ (Oversight Committee) ชุดแรกขององค์การอนามัยโลก ระหว่างปี 2553-2556 ด้วย
ในด้านธุรกิจอื่นๆ ดร.วิรไท ยังคงเป็นกรรมการและกรรมการตรวจสอบของบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) กรรมการของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กรรมการของบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) และกรรมการของบริษัท อักษรเอ็ดดูเคชั่น จำกัด (มหาชน) ทำให้ ดร.วิรไท เข้าใจกลไกการทำงานและการตัดสินใจของภาคธุรกิจ รวมทั้งมีประสบการณ์จริงในการกำกับดูแลองค์กรขนาดใหญ่
ดร.วิรไท เป็นนักเศรษฐศาสตร์ด้านการเงิน การธนาคาร ที่มีประสบการณ์ทั้งภาควิชาการและภาคปฏิบัติ ผ่านการทำงานทั้งในภาครัฐบาล องค์กรระหว่างประเทศ และสถาบันการเงินเอกชน ในปัจจุบัน ดร.วิรไทเป็นที่ปรึกษาของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย กรรมการนโยบายและกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ กรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย และกรรมการในคณะกรรมการนโยบายการเงิน
ดร.วิรไท สันติประภพ มีผลงานดีเด่นจนได้รับคัดเลือกจากนิตยสาร The Asian Banker ให้เป็น 1 ใน 50 ของนักการเงินการธนาคารรุ่นใหม่ของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และตะวันออกกลางในปี 2551 ยังได้รับเลือกเป็นEisenhower Fellow โดย Eisenhower Fellowships แห่งประเทศสหรัฐอเมริกาอีกด้วย
นอกจากนี้ ดร.วิรไท ยังเขียนบทความด้านเศรษฐศาสตร์และสังคมเป็นประจำ ในคอลัมน์ “เศรษฐศาสตร์พเนจร” และได้ตีพิมพ์หนังสือชื่อ “เศรษฐศาสตร์มีจริต” และ “มรรคเธอประเทศไทย” รวบรวมบทความที่แสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจและสะท้อนการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในแต่ละช่วงเวลา
การสมัครเข้ารับเลือกให้เป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยของ ดร.วิรไท สันติประภพ ในครั้งนี้ น่าจะเป็นนิมิตหมายอันดี และเป็นแรงผลักดันให้บรรดาคนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ความสามารถ และมีประสบการณ์ในการทำงานด้านต่างๆ มาร่วมมือกันปฏิรูปและช่วยกันขับเคลื่อนประเทศไทยในช่วงเวลาที่บ้านเมืองต้องการการปฏิรูปและเปลี่ยนแปลงให้เกิดความก้าวหน้าอย่างจริงจังเช่นปัจจุบันนี้ โดยไม่ฝากความหวังของประเทศไว้ให้แก่คนที่ใกล้เกษียณ หรือคนที่เกษียณอายุแล้วแต่เพียงอย่างเดียว
จากความรู้ความสามารถและผลงานอันเป็นที่ประจักษ์ ย่อมพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าคนรุ่นใหม่ที่มีจิตสำนึกสาธารณะ มีความพร้อมทั้งฝีไม้ลายมือในการทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และมีความเสียสละเพื่อประโยชน์ส่วนรวม อย่าง ดร.วิรไท สันติประภพ เป็นทรัพยากรบุคคลที่มีคุณค่าในสังคมไทย


