มรดก 3 พันล้าน วัดบ้านไร่
หลังจากที่พระเทพวิทยาคม หรือหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ เจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา
หลังจากที่พระเทพวิทยาคม หรือหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ เจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา มรณภาพเมื่อวันที่ 16 พ.ค.ที่ผ่านมา มีผู้คนจากทั่วสารทิศที่ศรัทธาเดินทางไปกราบสรีรสังขารของหลวงพ่อคูณ ซึ่งตั้งบำเพ็ญกุศลอยู่ที่ศูนย์ประชุมอเนกประสงค์กาญจนาภิเษก มหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) แล้วนับล้านคน โดยในวันที่ 24 พ.ค.นี้ จะมีพิธีมอบศพให้ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มข. เพื่อเป็นอาจารย์ใหญ่ให้กับนักศึกษาแพทย์ต่อไป
แม้หลวงพ่อคูณจะมรณภาพไปแล้ว แต่ก็ได้ทิ้งมรดกไว้มากมาย ทั้งคติคำสอน รวมถึงทรัพย์สิน สิ่งปลูกสร้าง เครื่องรางของขลัง ซึ่งมีมูลค่ามหาศาล
ช่วงที่หลวงพ่อคูณยังมีชีวิตนั้น วัดบ้านไร่ถือเป็นศูนย์รวมใจ จากกิตติศัพท์เลื่องลือในด้านวิชาอาคมและเมตตามหานิยมของหลวงพ่อคูณ แต่ละวันมีผู้คนจากทั่วสารทิศเดินทางมานมัสการหลวงพ่อคูณกันเป็นจำนวนมาก ทั้งการเคาะหัว เหยียบเอกสารสิทธิโฉนดที่ดิน เพื่อเป็นสิริมงคล และความเชื่อว่าจะทำให้ขายที่ดินได้ราคาดี
เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีชื่อเสียงด้านการปลุกเสกวัตถุมงคลของหลวงพ่อคูณ ก็ยิ่งทำให้การสร้างพระเครื่องและวัตถุมงคลเป็นของคู่กับวัดบ้านไร่อย่างแยกกันไม่ออก
มีการประเมินว่า นับตั้งแต่ พ.ศ. 2512 เป็นต้นมา หลวงพ่อคูณได้ทำพิธีปลุกเสกพระมาแล้วไม่ต่ำกว่า 3,000 รุ่น ไม่รวมถึงกิจนิมนต์เจิมป้าย เปิดที่ทำการบริษัท ห้างร้าน หน่วยงานต่างๆ อีกมากมาย ถึงขนาดที่ผู้เชิญต้องเช่าเฮลิคอปเตอร์มารับส่งหลวงพ่อคูณเพื่อให้ทันกับพิธีการ
หลวงพ่อคูณและวัดบ้านไร่จึงกลายเป็นแหล่งผลประโยชน์ของหลายกลุ่ม และตามมาด้วยความขัดแย้งถึงขั้นเอาชีวิต หลังจากผู้ใหญ่แดง หรือ บุญเรียบ จันทร์เพ็ง หลานชายของหลวงพ่อคูณ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการดูแลการจัดสร้างวัตถุมงคล การจัดคิวรับนิมนต์ ถูกคนร้ายยิงเสียชีวิตเมื่อเดือน พ.ค. 2548 ในเดือน ก.ค.ปีเดียวกัน หลวงพ่อคูณก็ออกจากวัดบ้านไร่ไปอยู่ที่วัดหนองบัวรอง อ.เมืองนครราชสีมา
หลายเดือนที่หลวงพ่อคูณไม่อยู่ วัดบ้านไร่ที่เคยคึกคักกลับเงียบเหงา ด้วยไม่มีผู้คนเดินทางมาแต่อย่างใด ร้านค้าแผงพระรอบวัดต้องพากันปิดตัว ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าหลวงพ่อคูณนั้นมีความสำคัญต่อวัดบ้านไร่เพียงใด หากไม่มีหลวงพ่อคูณ วัดบ้านไร่ก็ไร้ความหมาย
หลังจากนั้นไม่นาน ในเดือน พ.ย. 2548 หลวงพ่อคูณก็มีคำสั่งยกเลิกกรรมการวัดบ้านไร่ 108 คน ซึ่งเป็นการแต่งตั้งกันเองในกลุ่มกรรมการโดยที่หลวงพ่อคูณไม่ได้เห็นชอบ หนึ่งในนั้นมี นพ ภูมิชัยศักดิ์ อดีตนายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลบำเหน็จณรงค์ อ.บำเหน็จณรงค์ จ.ชัยภูมิ ลูกศิษย์ใกล้ชิด และ ธร จันทร์เพ็ง พี่ชายของผู้ใหญ่แดง รวมอยู่ด้วย
พร้อมกันนี้ หลวงพ่อคูณก็แต่งตั้งกรรมการวัดชุดใหม่จำนวนเพียง 19 คน มี พล.ต.ต.มหัคฆพันธ์ สุรคุปต์ อดีตผู้บังคับการตำรวจภูธรนครราชสีมา รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 เป็นประธาน ว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี อดีต สส.นครราชสีมา พรรคไทยรักไทย เป็นรองประธาน ธวัช เรืองหร่าย เป็นไวยาวัจกร และเหรัญญิกวัด สมบูรณ์ โสตถิอนันต์ หรือไก่โต้ง เลขานุการหลวงพ่อคูณ เป็นเลขานุการคณะกรรมการ
หลังล้างบางกรรมการชุดเดิมและแต่งตั้งชุดใหม่ อีก 1 เดือนต่อมา ธ.ค. 2548 หลวงพ่อคูณก็กลับวัดบ้านไร่
หลวงพ่อคูณก็ตระหนักถึงความขัดแย้งในกลุ่มลูกศิษย์ด้วยกันเองเป็นอย่างดี ซึ่งสะท้อนมาจากเจตนารมณ์ในพินัยกรรม ซึ่งยกสรีรสังขารให้กับคณะแพทยศาสตร์ มข.
“กูเองไม่อยากเป็นภาระกับคนอื่น เมื่อตายไปแล้วก็อยากให้ทุกคนได้ดำเนินการทุกอย่างตามที่ได้ระบุเอาไว้ในพินัยกรรม โดยกูเองก็ได้ให้ลูกศิษย์ทั้งสี่คนเป็นผู้ดูแลทุกอย่าง หลังที่กูตายไปแล้ว ส่วนเหตุผลที่กูให้เผาศพกู ก็เพราะกูไม่อยากให้เป็นภาระ ไม่อยากให้เกิดการแสวงหาประโยชน์ใดๆ จากตัวกู กูไม่ต้องการให้ศิษยานุศิษย์เดือดร้อนหรือเกิดความวุ่นวายขึ้นเมื่อยามที่ล่วงลับไปแล้ว และเพื่อไม่ต้องการให้เกิดเป็นปัญหาระหว่างลูกศิษย์ด้วยกัน อย่างน้อยก็เป็นการลดภาระลงไปได้ เพราะเมื่อได้ทำพินัยกรรมฉบับนี้ขึ้นมาลูกศิษย์จะได้ไม่ต้องเกิดความขัดแย้งกันเอง”
แม้วัดบ้านไร่จะไม่มีหลวงพ่อคูณอีกต่อไป แต่การจัดการผลประโยชน์ ทั้งอาคารสถานที่ รวมทั้งวัตถุมงคลซึ่งหลวงพ่อคูณปลุกเสกที่ยังคงเหลืออยู่ เป็นเรื่องที่กำลังถูกจับตาอย่างหนัก กรรมการวัดบ้านไร่คนหนึ่งเปิดเผยว่า เงินสดในบัญชีต่างๆ ของวัดน่าจะไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท
ขณะที่วัตถุมงคลนั้นยังคงมีอีกเป็นจำนวนมาก และราคาหลังหลวงพ่อคูณมรณภาพคงพุ่งสูงขึ้น รวมทั้งมูลค่าของอาคารสถานที่ซึ่งเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว อาทิ พิพิธภัณฑ์หลวงพ่อคูณ และวิหารเทพวิทยาคม รวมทรัพย์สินของ
วัดบ้านไร่ทุกประเภทแล้วน่าจะไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาท
เพื่อให้การจัดการวัดบ้านไร่ มรดกมูลค่า 3,000 ล้านบาท ของหลวงพ่อคูณเป็นไปอย่างโปร่งใส พระราชวิมลโมลี เจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา จึงแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อตรวจสอบทรัพย์สินของหลวงพ่อคูณและวัดบ้านไร่ มีพระราชสีมาภรณ์ รองเจ้าคณะจังหวัดเป็นประธาน ส่วนกรรมการมีทั้งสิ้น 31 คน จาก 3 ส่วน คือฝ่ายสงฆ์ หัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และกรรมการวัด ซึ่งเบื้องต้นจะตรวจสอบทรัพย์สินภายในวัด เช่น ในกุฏิ อุโบสถ วิหาร และพิพิธภัณฑ์หลวงพ่อคูณว่ามีอะไรบ้าง เพื่อทำบัญชีไว้เป็นหลักฐาน ส่วนทรัพย์สินอื่นๆ เช่น บัญชีธนาคาร บัญชีรายรับรายจ่าย บัญชีเช่าบูชาวัตถุมงคล และบัญชีเงินมูลนิธิ เป็นต้น จะต้องมีการประสานธนาคารเพื่อตรวจสอบอย่างละเอียด


