พิธีพระราชทานเพลิงศพ ทหารที่พลีชีพในการปราบกบฏ
สงคราม ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ รวมทั้งสงครามกลางเมืองของไทย เมื่อ พ.ศ. 2476 ต้องมีชีวิตทหารเป็นเดิมพันทั้งสิ้น
โดย...ส.สต
สงคราม ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ รวมทั้งสงครามกลางเมืองของไทย เมื่อ พ.ศ. 2476 ต้องมีชีวิตทหารเป็นเดิมพันทั้งสิ้น
เมื่อ พ.ต.หลวงพิบูลสงคราม กับพวก ทำการปฏิวัติซ้อนสำเร็จ เมื่อวันที่ 20 มิ.ย. 2476 ได้เชิญ พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา มาเป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติ พร้อมกันนั้นก็ยกตำแหน่งนายกรัฐมนตรีให้ด้วย
แต่ พ.อ.พระยาพหลฯ ผู้มักน้อยและถ่อมตัว ขอรับตำแหน่งไว้เพียง 15 วัน เพื่อให้บ้านเมืองเดินไปได้ หลังจากนั้นจะลาออก แต่ก็ไม่สามารถลาออกได้ เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้า
อยู่หัว รัชกาลที่ 7 โปรดให้ดำรงตำแหน่งต่อ
ต่อมาคณะรัฐบาลชุดนี้ต้องเผชิญกับการแข็งข้อของนายทหารอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่พอใจในหลายเรื่อง โดยเฉพาะที่เชิญ ปรีดี พนมยงค์ ที่ไปอยู่ประเทศฝรั่งเศสกลับบ้านกลับเมือง ตั้งกรรมการสอบสวนแล้วไม่พบความผิด หรือไม่เป็นคอมมิวนิสต์ ล้างมลทินให้ทุกอย่างแล้วตั้งเป็นรัฐมนตรี หรือที่รัฐบาลปล่อยให้ราษฎรบังอาจเป็นโจทย์ฟ้องพระมหากษัตริย์เป็นจำเลยในศาล(15 ก.ย. 2476 ถวัติ ฤทธิเดช ฟ้องรัชกาลที่ 7 กรณีที่เจ้าหน้าที่ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ไปทวงค่าเช่าตึกแถว 2 ห้อง ที่ค้างจ่ายเป็นปีว่าหมิ่นประมาทประชาชน ไม่เห็นใจคนจน) หรือโครงการเศรษฐกิจที่คัดลอกมาจากสตาลิน และการปกครองที่ขาดความยุติธรรม สนับสนุนแต่คนของตน
นายทหารระดับชั้นนำของประเทศนัดหมายกัน โดยได้กำลังทหารจากหัวเมืองเกือบค่อนราชอาณาจักรเป็นกองกำลังเพื่อโค่นรัฐบาลพระยาพหลฯ โดยได้ไปทูลเชิญ พล.อ.พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช เป็นแม่ทัพ พ.อ.พระยาศรีสิทธิสงคราม เป็นรองแม่ทัพ พ.อ.พระยาเทพสงคราม เป็นเสนาธิการ ยกกองทัพกบฏจากโคราชไปยึดกองทัพอากาศในวันที่ 11 ต.ค.ช้ากว่ากำหนดเดิม 1 วัน
เสาวรักษ์ เขียนว่า การล่าช้ากว่ากำหนด 1 วัน เป็นวันเงินวันทองของรัฐบาล แต่เป็นวันโซ่ตรวนของฝ่ายกบฏ ยิ่งการเปลี่ยนตัวแม่ทัพจาก พ.อ.พระยาศรีสิทธิสงคราม เป็น พล.อ.พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช ด้วยแล้วมีแต่ผลเสีย ทหารในกรุงเทพฯ ที่จะเข้าร่วมแต่แรกก็ไม่เอาด้วย เพราะชื่อเสียงพระองค์เจ้าท่านนี้เป็นที่เกรงขาม ขยาดกลัวในทางเข้มงวดกวดขันทหารมาก และที่สำคัญความเป็นเจ้า หากชนะก็อาจทำให้การปกครองเหมือนเดิม เสาวรักษ์สรุปไว้น่าคิดว่า กิจการใดก็ตามที่ต้องเปลี่ยนแปลงในตอนท้าย มักไม่ให้ผลดีกว่าที่คิดไว้แต่แรก แม้กองทหารหัวเมืองด้วยกันเมื่อได้ข่าวว่าเลื่อน 1 วัน ก็บิดพลิ้วไม่เคลื่อนพลตามแผนเดิม
ทหารในกรุงเทพฯ ที่เคยรับปากว่าจะบุกจับคนของรัฐบาล แต่ถูกเปลี่ยนตัวผู้บังคับบัญชาและถูกเรียกเก็บกระสุน ทำให้มีปืนแต่ไม่มีลูกกระสุน จึงไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด
ฝ่ายรัฐบาลได้เรียกประชุมคณะรัฐมนตรีฉุกเฉินและมีมติเห็นว่าการกระทำดังกล่าวเป็นกบฏ จึงมอบให้หลวงพิบูลสงครามเป็นผู้บังคับกองผสมเข้าปราบปรามและเริ่มโจมตีด้วยกำลังทหารรวมทั้งออกแถลงการณ์ชี้แจงประชาชนและถวายรายงานเหตุการณ์ต่างๆ แด่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งประทับ ณ วังไกลกังวล หัวหิน พร้อมทั้งจะส่งทหารไปถวายการอารักขาเพิ่มเติม
วันที่ 13 ต.ค. รัฐบาลประกาศปราบฝ่ายกบฏที่เรียกตัวเองว่า คณะกู้บ้านกู้เมือง เต็มรูปแบบ หลังจากกองกำลังทั้งสองฝ่ายได้เผชิญหน้ากันและเริ่มสู้รบกันตั้งแต่วันที่ 12 ต.ค.
ฝ่ากบฏเริ่มถอยทัพ ตั้งแต่วันที่ 15 ต.ค. 2476 จนถึง 26 ต.ค. 2476 อันเป็นวันสิ้นสุดที่คณะผู้นำทหารของฝ่ายกบฏ หรือคณะกู้บ้านกู้เมืองได้หลบหนีออกนอกประเทศ ทั้งนี้จุดแตกหักที่ทำให้ พล.อ.พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช ทรงยอมแพ้ คือการรบในวันที่ 23 ต.ค. บริเวณหลักกิโลเมตรที่ 141 หินลับ (ปากช่อง) ซึ่งทำให้ พ.อ.พระยาศรีสิทธิสงคราม (ดิ่นท่าราบ) ต้องถึงแก่ความตาย
พล.อ.พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช พร้อมพระชายา เสด็จออกนอกประเทศไปยังเมืองไซงอนโดยทางเครื่องบิน มีหลวงเวหนเหิรเห็จ (พล วงศ์สกุล) เป็นนักบิน และนายทหารคนสำคัญๆ ก็หนีไปทางประเทศกัมพูชา โดยมีม้าเป็นพาหนะ เช่น พระยาศรีสรศักดิ์ พระยาเทพสงคราม พระยาไชเยนทร์ฤทธิรงค์ หลวงลบบาดาลขุนเริงรกชัย ฯลฯ
การกบฏ พ.ศ. 2476 ทำให้นายทหารฝ่ายกบฏเสียชีวิต 3 ท่าน คือ พระยาศรีสิทธิสงคราม (ดิ่น ท่าราบ) หลวงโหมชิงชัย (เวก สู่ไชย) และพระยากำแพงรามภักดี แต่ไม่ทราบจำนวนพลทหารที่เสียชีวิต ทั้งนี้รัฐบาลได้ประกอบพิธีฌาปนกิจทหารฝ่ายกบฏที่ จ.นครราชสีมา เมื่อวันที่ 14 พ.ย. 2476 ณ สนามหน้าที่ว่าการจังหวัดทหารบกนครราชสีมา โดยรัฐบาลส่ง พ.ท.พระเริงรุกปัจจามิตร ผู้รักษาการฝ่ายทหาร จ.นครราชสีมา เป็นประธานในพิธี
ฝ่ายรัฐบาลได้สูญเสียนายทหาร 3 นาย นายสิบ 4 พลทหาร 8 รวม 15 คน ดังมีรายชื่อต่อไปนี้
1.พ.ต.หลวงอำนวยสงคราม
2.ร.ท.ขุน สุรนาคเสนีย์
3.ร.ต.นวม ทองจรรยา
4.ส.อ.ละมัย แก้วนิมิต
5.ส.ท.หล่อ วงศ์พราม
6.พลทหารชั้ว เชือกพุ่งใหญ่
7.พลทหารทองอิน เผือกผาสุก
8.พลทหารเช้า สุขสวย
9.พลทหารบุญช่วย สุมาลย์มาศ
10.พลทหารพัน ยังสว่าง
11.พลทหารจัน ศุขเนตร
12.พลทหารดา ทูคำมี
13.พลทหารหลิม เงินเจริญ กรมอากาศยาน
14.ส.อ.สมบุญ บัวชม
15.ส.ท.แฉล้ม ศักดิศิริ
รัฐบาลได้ประกอบพิธีพระราชทานเพลิงอย่างยิ่งใหญ่ ณ ท้องสนามหลวง เมื่อวันที่ 18 ก.พ. 2476 พร้อมทั้งสร้างอนุสาวรีย์ขึ้นเป็นอนุสรณ์ที่บริเวณหลักสี่ บางเขน
(ขอบคุณข้อมูลและจากสมุดภาพพระยาพหลพลพยุหเสนา ภาค 2 และหนังสือตัวตายแต่ชื่อยัง โดยเสาวรักษ์ (ร.ท.จงกล ไกรฤกษ์)


