เตียงสิบเอ็ด
ผมกุมมือแม่แน่นที่สุด เท่าที่จะส่งความรู้สึกไปให้ได้ ในขณะที่ตัวผมเองก็ต้องการความรู้สึกบางอย่างกลับคืนจากแม่เช่นกัน
โดย...เอกลักษณ์ หลุ่มชมแข [email protected]
...ผมกุมมือแม่แน่นที่สุด เท่าที่จะส่งความรู้สึกไปให้ได้ ในขณะที่ตัวผมเองก็ต้องการความรู้สึกบางอย่างกลับคืนจากแม่เช่นกัน...แม่หน้าตาอิดโรยมาก คงเพราะอดนอนมาตลอดทั้งคืน เสื้อผ้าที่แม่สวมใส่มีคราบเลือดติดอยู่ประปราย ดวงตาแม่เหมือนผ่านการร้องไห้มาพอสมควร ผมกำมือแม่แน่นยิ่งขึ้น บอกแม่ว่า
“ผมมาถึงแล้วไม่ต้องกลัว”
ก่อนหน้าวันนั้น ผมรับโทรศัพท์จากแม่เกือบทั้งวัน แม่เล่าอาการป่วยของพ่อให้ฟัง พ่อไอมาก ไอตลอดทั้งวัน พวกเราประเมินกันเองว่า พ่ออาจป่วยเพราะสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงกะทันหัน เพราะช่วงนั้นหนาวจัด และบางวันมีฝนตกหนัก พ่ออาจแพ้อากาศ ผมกำชับให้แม่ชวนพ่อเข้าไปซื้อยาแก้ไอที่ตัวอำเภอ ทั้งยังหวังดีแนะนำว่ายาแก้ไอยี่ห้อไหนน่าจะมีประสิทธิภาพในการบรรเทาอาการระคายคอได้ดีที่สุด หลังจากพ่อจิบยาแก้ไอมาตลอดทั้งวันอาการไอกลับไม่ดีขึ้น แถมไอหนักมากกว่าเดิม ตอนเย็นอากาศยิ่งเย็นยิ่งไอจนกินข้าวไม่ได้ นอนไม่ได้ ต้องนั่งอย่างเดียว จนใกล้ค่ำพ่อไอออกมาจนอุจจาระราดกางเกง และแน่นหน้าอก พ่ออมยาอมใต้ลิ้นบรรเทาอาการแน่นหน้าอกสำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจเป็นเม็ดที่สอง และการอมยาใต้ลิ้นเป็นเม็ดที่สองคือกฎเหล็กว่าต้องพาผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลโดยด่วน (ตอนนั้นผมและแม่คิดเพียงแต่ว่าพ่อไอมากจนแน่นหน้าอก)
แม่โทรถามผมระหว่างพาพ่อไปโรงพยาบาลที่ตัวจังหวัดว่าจะให้ไปโรงพยาบาลไหน ผมบอกว่าให้เข้าโรงพยาบาลเอกชนก่อน เพราะค่ำแล้ว และอยากให้พ่อได้รับการรักษาโดยทันทีไม่ต้องรอคิว
หลังจากส่งพ่อนอนบนเตียงรถเข็นของโรงพยาบาลเอกชนในตัวจังหวัดแล้ว มีพยาบาลออกมาถามแม่ว่ามีเงินรักษามั้ย แม่โทรถามผมอีกครั้งว่ารักษาที่นี่แน่นะ ผมย้ำว่ารักษาเลยแม่เต็มที่ วันนั้นแม่ใส่ชุดอยู่บ้านธรรมดาออกจะเก่าๆ ด้วยซ้ำ สภาพคือชาวบ้านชนบทเลย ไม่นานนักมีเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลมาแจ้งว่า โรงพยาบาลไม่สามารถรับรักษาตัวพ่อได้ เพราะอาการหนักเกินไป และอาจมีค่าใช้จ่ายจำนวนมาก ควรส่งเข้าไปรักษาที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด
ที่เตียงหมายเลข 11 ติดกับเคาน์เตอร์พยาบาลในโรงพยาบาลประจำจังหวัด มีสายยางระโยงระยาง เครื่องไม้เครื่องมือเต็มไปหมด และยังมีท่อเสียบเข้าที่ปากของพ่อ มีคราบเลือดไหลมาตามท่อเลอะหน้าอกพ่อเต็มไปหมด มันไหลออกมามากจนเลือดเปียกที่นอน แม่ต้องออกไปหาซื้อผ้าขนหนูมาเช็ดคราบเลือด แต่เลือดก็ยังไหลอย่างต่อเนื่อง พ่อยังรู้สึกตัวเหมือนจะพูดอะไรกับแม่ แต่พูดไม่ได้ มีเพียงดวงตาที่แสดงความเจ็บปวดออกมา
ระยะทางกว่า 400 กม. ผมขับรถฝ่าความมืดและความเหนื่อยล้าจากการทำงานมาตลอดทั้งวัน แถมเป็นช่วงวันสุดท้ายก่อนเทศกาลวันหยุดยาว ทำให้ปริมาณรถบนถนนมากขึ้นหลายเท่าตัว ปกติผมใช้เวลาขับรถระยะทางเท่านี้ไม่ควรเกิน 5-6 ชั่วโมง แต่คืนนั้นผมใช้เวลาสิบกว่าชั่วโมงในการเดินทาง มันเป็นการเดินทางที่ยาวนานมาก ในขณะที่ตัวผมยังอยู่บนรถท้องถนน แต่ใจผมไปถึงปลายทางแล้ว แน่นอนว่าตลอดระยะเวลาการเดินทางผมโทรหาแม่ทุกครึ่งชั่วโมง หลายครั้งที่โทรไปแทบคุยไม่รู้เรื่องเพราะแม่เริ่มร้องไห้ออกมา
ผมเดินทางมาถึงหน้าเตียงหมายเลข 11 ตอนสายๆ ของวันรุ่งขึ้น พอเห็นสภาพของแม่ก่อนก็พลอยตกใจ ยิ่งเห็นพ่อนอนบนเตียงมีคราบเลือดจำนวนมากยิ่งใจหายไปใหญ่ พ่อยังมีสติพยายามส่งสายตามาหาผม ผมกุมมือพ่อแน่น ผมรู้ว่าพ่อคงเจ็บปวด ดูเหมือนสายต่างๆ ที่อยู่บนตัวพ่อจะเป็นตัวช่วยพ่อเอาไว้ส่วนหนึ่ง แต่สายใยจากเมียและลูก ก็ยิ่งทำให้พ่อมีกำลังใจ แม้ว่าสภาพในตอนนั้น ผมเริ่มคิดว่า เราอาจต้องทำใจยอมรับอะไรบ้างอย่าง
พ่ออยู่ที่เตียง 11 ประมาณ 2 วัน ตลอดสองวันมีทั้งช่วงอาการดีขึ้นและแย่ลง พ่อพยายามทำมือบอกผมว่าหายใจไม่ออก ผมต้องรีบเรียกหมอและพยาบาลมาช่วยหลายครั้ง ใต้ที่นอนของพ่อ ผมพบว่ามีคนเอาเหรียญบาทมาวางไว้ มันไม่ใช่เศษเงินที่หล่นแล้วมีคนเก็บมาวางไว้ใต้เตียงแน่ๆ แต่มันคือเงินที่ญาติใช้วางเป็นเคล็ดว่าเตียงนี้ถูกซื้อต่อแล้ว มีเจ้าของใหม่แล้ว ไม่ใช่ผู้ป่วยที่ตายบนเตียงเป็นเจ้าของแต่อย่างใด มันคือความเชื่ออย่างหนึ่งในโรงพยาบาล
พ่อผมอาการดีขึ้น แม้ว่าจะมีเรื่องน่าหนักใจถึงการรักษาต่อเนื่องด้วยโรคเส้นเลือดหัวใจตีบและไตวายเรื้อรังก็ตาม แต่อาการตอนนี้ดีขึ้นมาก พ่อผมถูกเลื่อนเตียงลงมาเตียงหมายเลข 10 ที่อยู่ถัดมา ผมมาทราบภายหลังว่าเตียงหมายเลข 11 คือผู้ป่วยที่มีอาการหนักที่สุด จึงต้องอยู่ใกล้เคาน์เตอร์พยาบาลที่สุดเพื่อดูอาการตลอดเวลา เดิมพันกันด้วยเตียงนี้ เพราะการย้ายไปเตียงอื่นมีแค่ 2 อย่างคือ รอด กับ ตาย
เตียงหมายเลข 11 มีคนไข้รายใหม่ถูกพาเข้ามากลางดึก เรื่องไม่น่าเชื่อคือ เขามาด้วยอาการเดียวกับพ่อผม ซึ่งผมมารู้ตอนหลังว่ามันคืออาการน้ำท่วมปอด แน่นอนว่าเขามาด้วยสายระโยงระยางและท่อเสียบปากเช่นเดียวกับพ่อผม แม้ว่าจะมีม่านกั้นระหว่างเตียง ผมลอบมองไปที่คนป่วยบนเตียงหลายครั้ง เห็นว่าเขาเจ็บปวด ท่ามกลางญาติที่มารอเฝ้ารอบเตียงนับสิบๆ คน โรงพยาบาลในต่างจังหวัดมักพอจะจำแนกฐานะคนออกจากการแต่งกายได้ในระดับหนึ่ง คนไข้เตียงหมายเลข 11 รายใหม่ ดูจะเป็นคนมีฐานะทีเดียว
หมอเวรที่อยู่เวรเพียงคนเดียวในคืนนั้น เหมือนว่าต้องใส่ใจเตียงนี้เป็นพิเศษ หมอยังดูวัยรุ่นคล้ายแพทย์ประจำบ้านรับโทรศัพท์จากใครบางคนที่ญาติเตียงหมายเลข 11 ยื่นให้คุยและดูอาการคนไข้เกือบตลอด บางครั้งก็มีเสียงญาติร้องไห้เล็ดลอดออกมาจากเตียงนี้เสมือนว่าวาระสุดท้ายของคนที่นอนบนเตียงกำลังจะมาถึง ก่อนรุ่งสางมีคนคล้ายเป็นหมอ แต่งตัวชุดลำลองมาตรวจผู้ป่วยรายนี้ ไม่นานนักผู้ป่วยรายนี้ก็ถูกพาเคลื่อนย้ายไปจากเตียงหมายเลข 11 เพื่อส่งไปรักษาที่กรุงเทพฯ ...เขารอดจากเตียงหมายเลข 11 เหมือนพ่อผม
เตียงหมายเลข 11 ว่างลงอีกครั้ง แต่ไม่นานนักมีชายชราถูกส่งมานอนแทนที่ เขามีสายระโยงระยางมาเช่นกัน ต่างกันตรงเขาไม่มีญาติมาห้อมล้อม มีเพียงภรรยาวัยชราเช่นเดียวกับเขาแต่งกายด้วยเสื้อยืดเก่าๆ สวมผ้าถุงและรองเท้าแตะมานั่งกุมมืออยู่ข้างๆ
คนไข้เตียงหมายเลข 11 รายหลังสุดแทบไม่มีใครใส่ใจเขาเลย ผมลอบมองดูด้วยความสงสัยว่า ทำไมไม่มีใครสนใจเขาเหมือนคนป่วยก่อนหน้านี้เลย ไม่นานนักมีเสียงรูดม่านปิด ผู้ป่วยเตียงหมายเลข 11 รายนี้คงอ่อนล้าเต็มที สัญญาณชีพเขาหยุดลงแล้ว เสียงปั๊มหัวใจดังขึ้น ญาติคนไข้หลายเตียงพยายามเบือนหน้าหนี การเห็นความตายของคนอื่นในขณะที่ญาติตัวเองป่วยอยู่คงไม่ใช่เรื่องที่
น่าดูนัก หลายเตียงยิ่งกุมมือญาติที่ป่วยให้แน่นขึ้น คงอยากให้เสียงปั๊มหัวใจได้ผ่านพ้นไปเร็วๆ
เสียงปั๊มหัวใจยังคงดังต่อเนื่อง มีเสียงพยาบาลถามภรรยาของชายบนเตียงหมายเลข 11 ว่าจะให้ปั๊มต่อมั้ย?
หญิงชราซึ่งมาตัวคนเดียวนิ่งเงียบ ไม่ตอบอะไร เธออาจกำลังสับสน หรือแม้แต่ไม่กล้าพูดอะไรออกมา พยาบาลเสียงดังขึ้นถามว่าจะเอายังไงต่อ
ไม่นานจากนั้น มีเสียงร้องไห้ดังออกมาจากหลังม่านของเตียงหมายเลข 11 พร้อมมีเสียงพยาบาลดังออกมาว่า ญาติเตียงหมายเลข 11 ให้ไปยื่นเรื่องขอรับศพ!!!


