ส่องจุดอ่อน จุดแข็ง "ร่างรัฐธรรมนูญ"
"ถ้าใครเป็นคนตัดเค้กจะต้องไม่ใช่คนเลือกเค้ก พูดอีกอย่างหนึ่งคือ ถ้าใครมีอำนาจในเรื่องใด จะต้องไม่มีประโยชน์ในเรื่องนั้น"
โดย...เลอลักษณ์ จันทร์เทพ
ร่างรัฐธรรมนูญร่างแรกจำนวน 315 มาตรา ซึ่งผ่านการปลุกปั้นโดยคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ได้เข้าสู่การอภิปรายของสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ระหว่างวันที่ 20-26 เม.ย. ว่าจะมีข้อเสนอให้ปรับปรุงแก้ไขอะไรหรือไม่ ก่อนมีการลงมติเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบในช่วงต้นเดือน ส.ค.
ห้วงเวลาสำคัญที่กำลังมาถึง ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์ประจำภาควิชากฎหมายมหาชน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชี้ให้เห็นจุดอ่อนจุดแข็งไว้อย่างน่าสนใจ
“ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ไม่บังคับให้ สส.ต้องสังกัดพรรค และมีการประกันเสรีภาพในการทำหน้าที่ผู้แทนปวงชน รวมถึงมีความจริงจังในการสร้างประชาธิปไตยภายในพรรคการเมือง ตรงนี้ถือว่ามาถูกทางแล้วครับ” อาจารย์ปริญญา ให้ความเห็นข้อดีของร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
สำหรับคำถามว่าระบบเลือกตั้งแบบใหม่ คือ ระบบสัดส่วนผสม จะช่วยให้การเมืองไทยดีขึ้นอย่างไร อาจารย์ปริญญา ตอบว่า “ระบบเลือกตั้งแบบสัดส่วนผสมมีจุดแข็ง คือ จะทำให้เกิดสภาผู้แทนราษฎร ที่พรรคทุกพรรคมี สส.ตรงความเป็นจริง นั่นหมายความว่ารัฐบาลที่ตั้งขึ้นมาจะเข้มแข็งตามความเป็นจริง ส่วนฝ่ายค้านก็จะเข้มแข็งตามความเป็นจริง ซึ่งจะทำให้การถ่วงดุลในสภาดีขึ้น”
เมื่อใช้ระบบสัดส่วนผสม พรรคแต่ละพรรคได้คะแนนจากประชาชนมากี่เปอร์เซ็นต์ก็จะได้ สส.ตามเปอร์เซ็นต์นั้น ทำให้พรรคกลางๆ และพรรคขนาดเล็กก็จะมีที่นั่งมากขึ้น แต่ปัญหาคือทำให้ยากที่จะมีพรรคใดได้ สส.เกินครึ่ง รัฐบาลก็จะเป็นรัฐบาลผสม แล้วจะเกิดปัญหาไปอีกทาง คือ รัฐบาลไม่เข้มแข็งหรือไม่ อาจารย์ปริญญา ตอบว่า “พรรคใดจะได้ สส.เท่าไหร่ เป็นเรื่องที่ประชาชนจะกำหนดครับ แต่ก็ถูกที่ว่าแนวโน้มจะเกิดรัฐบาลผสม เพราะระบบเลือกตั้งแบบนี้จะทำให้คนกล้าเลือกพรรคที่ 3 พรรคที่ 4 มากกว่าถูกบีบให้ต้องเลือกแค่ 2 พรรคใหญ่เหมือนที่ผ่านมา ถามว่ารัฐบาลผสมมีปัญหาหรือไม่ ประเทศเยอรมนีตั้งใจให้รัฐบาลเป็นรัฐบาลผสมเลยครับ จึงเลือกใช้ระบบนี้ เพราะอยากให้สภาสะท้อนความเป็นจริง และการเมืองมีการประนีประนอมกัน ไม่ใช่การเมืองแบบแบ่งขั้วให้เหลือ 2 พรรคใหญ่ แล้วการเมืองแบบเหลือ 2 พรรคใหญ่ก็ไม่ได้ดีจริงหรอกครับ เพราะทำให้เกิดการแบ่งข้างทะเลาะกันมาก”
ส่วนจุดอ่อนของร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ อาจารย์ปริญญา ระบุว่ามี 2 เรื่อง คือ นายกรัฐมนตรีไม่ต้องเป็น สส. และเรื่องของวุฒิสภาที่มีอำนาจมาก “เรื่องการกำหนดให้นายกรัฐมนตรีต้องเป็น สส. เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์พฤษภา 2535 เพราะเป็นประเด็นที่ต่อต้าน พล.อ.สุจินดา คราประยูร ว่าไม่ชอบธรรมเพราะไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง และสืบทอดอำนาจเพราะตัวเองเป็นคนยึดอำนาจ จึงมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้นายกฯ ต้องเป็น สส. แล้วรัฐธรรมนูญ 2540 และรัฐธรรมนูญ 2550 ก็เดินตามแนวทางนี้มาตลอด เจตนาจริงๆ คือ ต้องการกันทหารออกไป ไม่ต้องการให้เข้ามายุ่ง คือ ต้องการให้ประชาชนสามารถเลือกรัฐบาลกันเอง ถ้าทหารจะยุ่งต้องลาออกมาลงเลือกตั้งไปเลยครับ”
ประเทศส่วนใหญ่ที่ไม่เขียนว่านายกฯ ต้องเป็น สส. เพราะเขาไม่มีปัญหาแบบนี้ แต่ประเทศไทยเคยมีปัญหามาแล้วหลายครั้ง ถ้าไม่เขียนให้นายกฯ ต้องเป็น สส. คนจะรู้สึกว่าเป็นการเปิดช่องให้เกิดการสืบทอดอำนาจ “ที่พูดนี้ไม่ใช่ในแง่มุมวิชาการอย่างเดียว แต่พูดในแง่การเมือง และความรู้สึกของคนจำนวนไม่น้อยที่เขาก็รอรัฐธรรมนูญจะออกมาอย่างไร ผมเห็นว่าควรกำหนดให้นายกฯ ต้องเป็น สส. ส่วนเรื่องในตอนฉุกเฉินก็ให้เป็นเรื่องฉุกเฉินไป ต้องไม่ใช่สถานการณ์ปกติ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ได้มีการแก้ไขแล้ว คือกรณีปกตินายกฯ ต้องเป็น สส. ถ้าจะเอาคนนอกต้องใช้เสียง สส. 2 ใน 3 อันนี้ก็ถือว่าดีขึ้น คนคงรับได้มากขึ้น”
ส่วนจุดอ่อนเรื่องวุฒิสภาที่มีอำนาจมาก อาจารย์ปริญญา กล่าวว่า “ผมว่าเราควรตั้งคำถามก่อนว่า วุฒิสภามีไปทำไม สหรัฐอเมริกาและเยอรมนี ที่มีวุฒิสภาเพราะประเทศเขาเป็นสหพันธรัฐ จึงต้องมีหลักประกันให้มลรัฐว่า กฎหมายของสหพันธรัฐที่ออกมา ถ้าจะกระทบต่อประโยชน์ของมลรัฐ ต้องให้ตัวแทนมลรัฐเห็นชอบเสียก่อน อเมริกาและเยอรมนีที่มีวุฒิสภาก็เพราะประเทศเขาเป็นสหพันธรัฐครับ”
แต่ประเทศไทยเป็นรัฐเดี่ยว จึงต้องตอบคำถามก่อนว่า มีความจำเป็นต้องมีสภาที่สองหรือไม่ “ประเทศที่เป็นสภาเดี่ยวมี 114 ประเทศ ส่วนประเทศที่เป็นสภาคู่มีเพียง 80 ประเทศเท่านั้น แล้วถ้าไปดูพัฒนาการของประเทศต่างๆ จะเห็นได้ว่าประเทศที่เคยมีวุฒิสภา หลายประเทศก็ยกเลิกไปเพราะเห็นว่าไม่จำเป็น และสิ้นเปลืองงบประมาณ ส่วนประเทศที่มีวุฒิสภาต่อไปก็มักจะเปลี่ยนให้มาจากการเลือกตั้งโดยตรง อย่างประเทศญี่ปุ่น เป็นต้น”
แต่อาจารย์ปริญญาก็เห็นว่า ไม่จำเป็นที่ สว.จะต้องมาจากการเลือกตั้งโดยตรงเสมอไป “สว.ของอังกฤษไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แต่อำนาจมีน้อยครับ คือถ้าอำนาจมีไม่มาก จะมาจากการสรรหาหรือเลือกตั้งทางอ้อมก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าอำนาจมีมากก็ควรต้องมาจากการเลือกตั้งโดยตรง เมื่อประเทศไทยตัดสินใจที่จะเป็นสภาคู่ โดยให้เหตุผลว่าต้องถ่วงดุลอำนาจสภาผู้แทน แต่ถ้าไม่ต้องการให้มาจากการเลือกตั้ง ก็ต้องให้อำนาจ สว.น้อยลง หรือถ้าจะให้อำนาจมาก ก็ต้องให้มาจากการเลือกตั้ง ไม่เช่นนั้นจะมีความชอบธรรมในการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งได้อย่างไร”
อาจารย์ปริญญา ชี้ให้เห็นถึงบทเรียนในอดีตว่า “เหตุการณ์ในปี 2534-2535 ที่นักศึกษาออกมาประท้วง ก็เพราะรัฐธรรมนูญ 2534 ให้ สว.มีอำนาจมาก แต่มาจากการแต่งตั้ง จึงเกิดการต่อต้านรัฐธรรมนูญ แล้วก็กลายเป็นการต่อต้านรัฐบาลเมื่อผู้ยึดอำนาจสืบทอดอำนาจ ตรงนี้ควรจะเป็นบทเรียนให้เรา แต่อย่างไรก็ตาม ตอนนี้คณะกรรมาธิการยกร่างฯ ได้มีการเปลี่ยนแปลงให้มี สว.มาจากการเลือกตั้งจังหวัดละคนแล้ว ก็ถือว่าดีขึ้น”
แบ่งแยกอำนาจให้ชัด
"ก่อนอื่นต้องตั้งคำถามก่อนว่า ประชาธิปไตยของประเทศไทยมีปัญหาตรงไหน ทำไมจึงไม่ประสบความสำเร็จ" ดร.ปริญญา ตั้งคำถามกับทีมข่าวโพสต์ทูเดย์ หลังถูกถามว่า ร่างรัฐธรรมนูญปี 2558 จะแก้ปัญหาการเมืองไทยหรือจะก่อปัญหารอบใหม่
"เรามีรัฐประหาร ยกเลิกรัฐธรรมนูญ วนเวียนอยู่แบบนี้มาแล้ว 12 ครั้ง ถ้าเราไม่ตอบคำถามตรงนี้ก่อน เราก็จะไม่สามารถแก้ปัญหาได้ กลับสู่ประชาธิปไตย ก็อาจจะวนกลับมาใหม่เหมือนเดิม"
ถามว่าทำไมประเทศไทยจึงไม่สามารถร่างรัฐธรรมนูญให้แก้ปัญหาการเมืองได้เสียที อาจารย์ปริญญา ตอบว่า "เราต้องการให้การเมืองดี เราก็เลยต้องร่างรัฐธรรมนูญให้ได้นักการเมืองดีใช่ไหมครับ แต่เราต้องเข้าใจก่อนว่ารัฐธรรมนูญทำหน้าที่อะไร"
"ผมขอยกตัวอย่าง สมมติเรามีเค้กชิ้นหนึ่งให้ นาย ก. และนาย ข. แบ่งกัน โดยให้นาย ก. เป็นคน ตัดเค้ก คำถามคือเราจะทำอย่างไรให้นาย ก. ตัดเค้กให้นาย ข. เท่ากัน สิ่งที่เรามักจะทำกันก็คือ บอกนาย ก. ให้เป็นคนดี ให้มีคุณธรรม จริยธรรม แต่มันไม่มี หลักประกันครับ วิธีการที่ดีกว่าคือ ถ้าให้นาย ก. ตัดเค้ก ก็ต้องให้นาย ข. เป็นคนเลือกเค้ก ซึ่งจะทำให้นาย ก. จะต้องตัดเค้กให้เท่ากัน มิเช่นนั้นตนเองจะได้เค้กชิ้นเล็กกว่า และนั่นแหละครับคือหลักการแบ่งแยกอำนาจ คือถ้าใครเป็นคนตัดเค้กจะต้องไม่ใช่คนเลือกเค้ก พูดอีกอย่างหนึ่งคือ ถ้าใครมีอำนาจในเรื่องใด จะต้องไม่มีประโยชน์ในเรื่องนั้น และนี่คือหน้าที่ของรัฐธรรมนูญ ในระบอบประชาธิปไตย คือ ต้องแบ่งแยกอำนาจให้คนตัดเค้กและคนเลือกเค้กเป็นคนละคนกัน เพื่อให้เกิด การตรวจสอบถ่วงดุล"
อาจารย์ปริญญา กล่าวต่อว่า "การเขียนรัฐธรรมนูญให้นักการเมืองเป็นคนดี มีความซื่อสัตย์สุจริต มีคุณธรรม จริยธรรม ถึงแม้จะเขียนได้ แต่ไม่ได้ผลหรอกครับ วิธีการที่ได้ผลคือรัฐธรรมนูญต้องแบ่งแยกอำนาจ และให้อำนาจถ่วงดุลกัน ฝ่ายนิติบัญญัติออกกฎหมาย ฝ่ายบริหารใช้อำนาจจากกฎหมาย และฝ่ายตุลาการตีความกฎหมาย เพื่อควบคุมฝ่ายบริหารให้ใช้อำนาจให้อยู่ในขอบเขตของกฎหมายนั้น โดยกฎหมายที่ฝ่ายตุลาการใช้ในการตัดสินก็มาจากฝ่ายนิติบัญญัติ แล้วฝ่ายนิติบัญญัติก็มาจากประชาชนเลือก ทั้งสามอำนาจก็ถ่วงดุลกันหมด นี่แหละครับการแบ่งแยกอำนาจตามระบอบประชาธิปไตย ไม่ว่า ผู้มีอำนาจจะเป็นคนดีหรือไม่ เขาก็จะไม่สามารถใช้อำนาจในทางไม่ดีได้"
ทบทวนอดีตแก้ปัจจุบัน
มองย้อนอดีตที่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญตั้งแต่ฉบับปี 2540 และฉบับปี 2550 ทำไมยังล้มเหลว อาจารย์ปริญญา ชี้ว่า "ความจริงแล้วเราเริ่มต้นถูก เพราะรัฐธรรมนูญฉบับ 10 ธ.ค. 2475 ไม่บังคับให้ สส.ต้องสังกัดพรรคการเมือง และมีการประกันเสรีภาพในการทำหน้าที่ผู้แทนปวงชน และทุกฉบับหลังจากนั้นก็เป็นเช่นนั้นตลอด จนกระทั่งรัฐธรรมนูญ 2517 ได้เริ่มบังคับให้ สส.ทุกคนต้องสังกัดพรรค โดยตอนที่สมัครต้องสังกัดพรรค และถ้าเป็น สส.แล้วลาออกจากพรรค ก็จะต้องพ้นจากการเป็น สส. ซึ่งก็คือการห้ามย้ายพรรคนั่นเอง แล้วก็ตัดหลักเสรีภาพของผู้แทนปวงชนทิ้งไป โดยไม่สร้างหลักประชาธิปไตยภายในพรรคการเมือง คือ ผู้ร่างรัฐธรรมนูญ 2517 ตีโจทย์ผิด เขาคิดว่าที่ประชาธิปไตยสมัยจอมพลถนอม กิตติขจร ล้มเหลวจนจอมพลถนอมต้องยึดอำนาจ จนเกิดเหตุการณ์ 14 ต.ค. 2516 เพราะ สส.มีอิสระมากเกินไป และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการทำให้ผู้แทนปวงชนตกอยู่ใต้อำนาจของพรรคการเมือง ซึ่งเป็นความผิดพลาดที่เริ่มต้นโดยรัฐธรรมนูญ 2517"
แล้วรัฐธรรมนูญ 2540 ไม่ได้แก้ปัญหานี้หรือ อาจารย์ปริญญา ตอบว่า "ความจริงแล้วรัฐธรรมนูญปี 2540 เข้าใจปัญหาของระบบรัฐสภา คือรู้ว่าระบบรัฐสภามีจุดอ่อน รัฐบาลคุม สส.เสียงข้างมากได้ ฝ่ายค้านยกมือยังไงก็แพ้ แต่วิธีการแก้ผิด คือไม่ได้ไปแก้ที่สาเหตุเรื่องการบังคับสังกัดพรรค แต่ไปสร้างสิ่งใหม่คือ 'องค์กรอิสระ' ให้มาควบคุมและถ่วงดุลรัฐบาลแทนสภา แล้วก็สร้าง 'รัฐบาลเข้มแข็ง' ขึ้นมาโดยใช้มาตรการ 3-4 เรื่อง คือ หนึ่ง ใช้ระบบเลือกตั้งเสียงข้างมากธรรมดาเขตละคนในการเลือก สส.จำนวน 400 คน จากจำนวน สส.ทั้งหมด 500 คน
ซึ่งระบบเลือกตั้งแบบนี้มีข้อเสีย คือ ผู้ชนะการเลือกตั้งไม่จำเป็นต้องได้คะแนนเกินครึ่ง แล้วคะแนนคนแพ้ก็ทิ้งน้ำหมด ทำให้พรรคใหญ่ได้ สส.มากกว่าคะแนนจริงๆ ที่ได้จากประชาชน พรรคใหญ่จึงใหญ่ขึ้นกว่าความเป็นจริง ส่วนพรรคเล็กถึงแม้จะมาที่ 2 ที่ 3 หรือที่ 4 แต่คะแนนก็จะหายหมด สุดท้ายจึงนำไปสู่การเมืองที่มีเพียง 2 พรรคใหญ่ในสภา" อาจารย์ปริญญา ยกตัวอย่างพรรคไทยรักไทยในการเลือกตั้งปี 2548 "ในการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตในปี 2548 พรรคไทยรักไทยได้ สส.แบบแบ่งเขต 310 คน จาก สส.แบ่งเขตทั้งหมด 400 คน คิดเป็นเปอร์เซ็นต์เท่ากับ 77.5% แต่จริงๆ แล้วพรรคไทยรักไทยได้คะแนนแบบแบ่งเขตเพียงแค่ 51% นี่คือความหมายที่ว่ารัฐบาลเข้มแข็ง แต่เป็นความเข้มแข็งที่เกินจริง ส่วนฝ่ายค้านก็ได้ สส.น้อยกว่าความเป็นจริง ทำให้เรามีฝ่ายค้านอ่อนแอกว่าความเป็นจริง การตรวจสอบถ่วงดุลในสภาจึงไม่สมดุลตามความเป็นจริงครับ"
มาตรการที่สอง คือ การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี เพิ่มจำนวน สส.จาก 1 ใน 5 เป็น 2 ใน 5 คือ สส.มี 500 คน ต้องเพิ่มจำนวน สส.จาก 1 ใน 5 เป็น 2 ใน 5 คือ สส.มี 500 คน ต้องใช้ 200 คน ดังนั้นการตั้งรัฐบาลแบบ พ.ต.ท.ทักษิณ คือให้รัฐบาลมี สส.มากกว่า 300 คน ก็จะทำให้ไม่ถูกอภิปรายเลย และนั่นคือสิ่งที่คุณทักษิณทำตลอด 5 ปีที่เป็นนายกฯ
"แต่หนักที่สุดคือมาตรการที่สามครับ คือ กำหนดให้ผู้สมัคร สส.ต้องสังกัดพรรคไม่น้อยกว่า 90 วัน โดยมีเจตนาเพื่อไม่ให้ สส.ย้ายพรรคตอนที่มีการเลือกตั้งใหม่ เพราะถ้าการยุบสภาต้องเลือกตั้งใหม่ภายใน 60 วัน หรือหากสภาอยู่ครบวาระก็ต้องเลือกตั้งใหม่ภายใน 45 วัน ทำให้ไม่สามารถไปสมัครในพรรคใหม่หรือพรรคอื่นได้ เท่ากับว่าต้องสมัครในพรรคเดิม ทีนี้ปัญหาที่เกิดขึ้น คือ เมื่อสมัครในพรรคอื่นไม่ได้ แล้ว สส.จะทำอย่างไรพรรคจึงจะส่งตนเองลงสมัครในการเลือกตั้งครั้งต่อไปละครับ ก็ต้องจงรักภักดีต่อพรรค พรรคให้ยกมืออย่างไรก็ต้องยกมือตามนั้น แล้วเมื่อเราไม่มีประชาธิปไตยภายในพรรค คนที่ตัดสินใจว่าใครละลงสมัคร สส. จึงเป็นหัวหน้าพรรค และผลลัพธ์ก็คือทำให้ระบบรัฐสภาของไทยกลับหัวกลับหาง จาก สส.เป็นคนเลือกนายกฯ กลายเป็นนายกฯ เลือก สส. เลือกตอนไหนครับ ก็ตอนส่งลงสมัครรับเลือกตั้งไงครับ คือ สส.ของพรรคตัวเองในสภา นายกฯ เลือกมาเองหมด รัฐบาลจึงครอบงำสภาได้เบ็ดเสร็จ เมื่อในสภาถ่วงดุลกันไม่ได้ ก็เลยไปเกิดการเมืองนอกสภา สุดท้ายก็จบด้วยการยึดอำนาจ 19 ก.ย. 2549"
สำหรับรัฐธรรมนูญปี 2550 ที่ร่างขึ้นมาใหม่ก็ไม่ได้แก้ปัญหาที่สาเหตุ เพราะยังบังคับให้ สส.ต้องสังกัดพรรค แต่ไปมุ่งแก้ปัญหาที่องค์กรอิสระของรัฐธรรมนูญ 2540 ที่ล้มเหลวเพราะฝ่ายการเมืองแทรกแซงได้ โดยไปเอาศาลมาสรรหาองค์กรอิสระ และสรรหา สว. เพราะเห็นว่าศาลเป็นคนดีและมีความเป็นกลาง "นวัตกรรมของรัฐธรรมนูญปี 2540 คือองค์กรอิสระและ รัฐบาลเข้มแข็ง ส่วนนวัตกรรมของรัฐธรรมนูญปี 2550 คือตุลาการภิวัฒน์ครับ"
การให้ศาลมาสรรหาองค์กรอิสระมีปัญหาอย่างไร อาจารย์ปริญญา ยกตัวอย่าง "ถ้าเราไปดูการแข่งฟุตบอล แล้วเรารู้มาว่านักกีฬาที่เตะอยู่ในสนาม มีทีมหนึ่งที่ผู้เล่นมาจากการเลือกของกรรมการตัดสิน ถามว่าคนดูจะเชื่อการตัดสินของกรรมการหรือไม่ ต่อให้กรรมการตัดสินเที่ยงธรรม คนดูก็จะเริ่มคลางแคลงใจ รัฐธรรมนูญ 2550 คือการเอากรรมการตัดสินมาเลือกตัวนักบอลครับ จึงกระทบต่อความเชื่อถือของกรรมการตัดสินในการทำหน้าที่กรรมการ ศาลคือกรรมการตัดสินของระบอบประชาธิปไตย การให้มาสรรหาตัวผู้เล่นจึงทำให้เกิดปัญหามากครับ"
"เมื่อรัฐธรรมนูญ 2550 ไม่ได้แก้ที่เหตุ คือ ฝ่ายบริหารอยู่เหนือฝ่ายนิติบัญญัติ รัฐธรรมนูญ 2550 จึงไม่สามารถแก้ปัญหาได้ เมื่อการถ่วงดุลในสภาล้มเหลวอีก ก็เลยออกไปนอกสภา และสุดท้ายก็เกิดการรัฐประหารขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งความจริงไม่ควรจะเกิดอีกแล้ว" อาจารย์ปริญญา กล่าว
"พลเมือง" สำคัญไม่น้อยไปกว่า "รัฐธรรมนูญ"
พลิกดูร่างรัฐธรรมนูญร่างแรกที่กำลังเข้าสู่การอภิปรายของสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) นอกจากพบจุดอ่อนจุดแข็งที่ถูกซ่อนไว้ในรายมาตราแล้ว หากความหนาของร่างรัฐธรรมนูญที่มีถึง 315 มาตรา อาจบ่งบอกถึงความห่างไกลจากการปกครองโดยประชาชน
“เรื่องความหนาของรัฐธรรมนูญ ที่ขณะนี้มีจำนวน 315 มาตรา ไม่ทราบว่าถ้านับคำแล้วจะมีกี่คำ รัฐธรรมนูญ 2540 มี 336 มาตรา จำนวนคำ 38,000 คำ รัฐธรรมนูญ 2550 มี 309 มาตรา 45,000 คำ รัฐธรรมนูญยิ่งหนา จะยิ่งใช้บังคับไม่ได้ เพราะประชาชนยิ่งไม่รู้รัฐธรรมนูญ ถามว่าทำไมกรรมการตัดสินฟุตบอลจึงไม่สามารถตัดสินให้ผิดไปจากกติกาได้ ก็เพราะคนดูรู้กติกา และที่คนดูรู้กติกาก็เพราะกติกาฟุตบอลมันง่าย ไม่ซับซ้อน ดังนั้นการแข่งฟุตบอลจริงๆ แล้วจึงถูกควบคุมโดยคนดู กติกาการเมืองในรัฐธรรมนูญก็แบบเดียวกันแหละครับ” อาจารย์ปริญญา เทวานฤมิตรกุล ให้มุมมอง
ถามว่า ประเทศอื่นๆ รัฐธรรมนูญหนาแค่ไหน อาจารย์ปริญญา ตอบว่า “ถ้าดูจากรัฐธรรมนูญของประเทศที่ประสบความสำเร็จกับประชาธิปไตย รัฐธรรมนูญจะมีความหนาโดยเฉลี่ยประมาณ 10,000 คำ คือรัฐธรรมนูญบางทั้งสิ้น อย่างของอเมริกา ทีแรกมีแค่ 3,000 คำ แก้ไป 28 ครั้ง ก็ยังเพิ่มเป็นแค่ 7,000 คำ นักเรียนประถม 6 ของเขาจึงเรียนรัฐธรรมนูญได้แล้ว ของเยอรมันหนาหน่อย ก็แค่ 20,000 คำ”
อาจารย์ปริญญาเสนอให้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่บางลง เพราะรัฐธรรมนูญที่หนาเกินไปจะห่างไกลจากประชาชน “ถ้าเราออกแบบการตรวจสอบการถ่วงดุลที่ดีแล้วรัฐธรรมนูญไม่จำเป็นต้องหนา เพราะอำนาจจะถ่วงดุลกันเอง คือทำให้คนตัดเค้กกับคนเลือกเค้กเป็นคนละคนกัน แต่ตอนนี้เห็นจะยากหน่อย เพราะมีการตั้งองค์กรอิสระใหม่ๆ ขึ้นมาเยอะ ซึ่งทำให้รัฐธรรมนูญบางลงไม่ได้ แต่ผมก็ยังหวังว่าคณะกรรมาธิการยกร่างฯ จะเข้าใจในเรื่องนี้ และหาทางทำให้ร่างรัฐธรรมนูญบางลง สิ่งที่วิเศษที่สุดในการตรวจสอบการใช้อำนาจ ไม่ใช่องค์กรอิสระครับ แต่คือประชาชน ซึ่งประชาชนจะมีบทบาทเช่นนั้นได้ ก็ต่อเมื่อรัฐธรรมนูญไม่หนาเกินไปครับ”
“แต่รัฐธรรมนูญอย่างเดียวไม่ทำให้ประชาธิปไตยประสบความสำเร็จหรอกครับ เพราะต่อให้เขียนดีแค่ไหน เราไม่ใช้ รัฐธรรมนูญก็ไม่มีประโยชน์อะไร ประชาธิปไตยจะประสบความสำเร็จได้ รัฐธรรมนูญเป็นแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น อีกครึ่งหนึ่งคือคน ที่ต่อให้รัฐธรรมนูญเขียนดีแค่ไหนก็เสกขึ้นมาไม่ได้ ถ้าเราไม่ทำ”
อาจารย์ปริญญากล่าวว่า “ประชาธิปไตยคือการปกครองตนเองของประชาชนเจ้าของประเทศ พวกเราที่เป็นเจ้าของประเทศก็ต้องปกครองกันเองให้ได้ ก่อนอื่นเลยเราก็ต้องยอมรับความแตกต่างและเคารพสิทธิซึ่งกันและกัน ถ้าขัดแย้งกันก็ต้องว่ากันตามกติกา ฟุตบอลที่แข่งกันได้เพราะมีกติกา เราจะขัดแย้งกันแค่ไหน ถ้าเล่นกันตามกติกาไม่มีปัญหา นักบอลก็เตะบอลตามกติกา กรรมการก็ตัดสินตามกติกา ส่วนคนดูก็ดูตามกติกา ใครแพ้ใครชนะก็ว่ากันไปตามกติกา ใครแพ้ก็รอแข่งครั้งหน้า นี่ก็คือเรื่องเดียวกันกับประชาธิปไตยครับ”
การเคารพกติกาและเคารพสิทธิซึ่งกันและกัน นี่เองคือความหมายของ “พลเมือง” ในระบอบประชาธิปไตย “พลเมืองเป็นปัจจัยสำเร็จของประชาธิปไตยทั่วโลก ที่มีความสำคัญเท่ากับรัฐธรรมนูญที่มีการแบ่งแยกอำนาจและประกันสิทธิเสรีภาพให้แก่ประชาชน การแก้ปัญหาการยึดอำนาจ และปัญหาคอร์รัปชั่นซึ่งเป็นสาเหตุของการยึดอำนาจ วิธีที่ดีที่สุดคือช่วยกันทำประชาธิปไตยให้เข้มแข็ง”
อาจารย์ปริญญา กล่าวทิ้งท้ายว่า “ถ้าเราอยากได้นักการเมืองดี เราก็ต้องเริ่มที่ตัวเราด้วย เพราะนักการเมืองคือภาพสะท้อนของประชาชน เราชอบใช้เส้นสาย ชอบให้สินบน เราก็ได้นักการเมืองอย่างนั้น ประชาธิปไตยเข้มแข็งคือประชาชนเข้มแข็ง นั่นคือเป็นพลเมือง หรือกำลังของเมืองในการแก้ปัญหาต่างๆ เราจึงต้องช่วยกันเปลี่ยนแปลงโดยเริ่มจากตัวเราด้วยครับ”
จิตสาธารณะ ตามรอยเท้าพ่อ
ขอแสดงความเสียใจ กับ ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล ที่ได้สูญเสียคุณพ่อณรงค์ เทวานฤมิตรกุล ไปเมื่อช่วงต้นเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา เชื่อว่าตลอดชีวิตของคุณพ่อณรงค์ ท่านได้ทำสิ่งที่มีประโยชน์ไว้มาก และเลี้ยงบุตรให้เป็นบุคคลมีคุณภาพและเป็น "พลเมือง" ที่ดีของประเทศ "โพสต์ทูเดย์" จึงสัมภาษณ์ว่า พ่อสอนอาจารย์ปริญญามาอย่างไร
"พ่อผมไม่เคยสอนให้ผมเป็นคนดีครับ" อาจารย์ปริญญาตอบคำถาม "แต่พ่อทำให้ดูเลย แม่ผมก็เหมือนกัน พ่อผมชอบช่วยคน และมีใน สิ่งที่พวกเราสมัยนี้เรียกว่า จิตสาธารณะ อะไรที่เป็นงานส่วนรวม งานชุมชน งานวันเด็ก งานของวัด สร้างโบสถ์ สร้างศาลา สร้างโรงพยาบาล งาน ของอำเภอ พ่อผมช่วยหมด ตอนพ่อผมหนุ่มๆ สี่แยกที่อำเภอไม่มีไฟแดง เกิดอุบัติเหตุ มีคนตายบ่อย พ่อก็จัดงานหาเงินมาทำไฟแดง ก็ทำสำเร็จ โดยไม่ต้องไปรองบประมาณจากรัฐเลยครับ ตอนที่พ่อลงสมัครการเมือง ท้องถิ่น เป็นสมาชิกสภาจังหวัด มีคนมาหาพ่อทั้งวันให้ช่วยแก้ปัญหาเรื่องนั้นเรื่องนี้" อาจารย์ปริญญาเล่า "เรื่องการช่วยคนอื่นและช่วยสังคม ผมได้มาจากพ่อครับ"
"พ่อชอบลองทำอะไรใหม่ๆ เสมอ แล้วพ่อก็ให้ผมเรียนรู้ในแบบนั้น คือให้ผมคิดเอง ให้รับผิดชอบตัวเองตั้งแต่เด็กๆ แล้วก็ยอมให้ผมลองผิดลองถูก ผมว่าการคิดเป็น เรียนรู้เป็น รับผิดชอบตัวเองได้ ไม่เอาเปรียบคนอื่น และลงมือทำ นี่แหละเป็นหัวใจสำคัญของการเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยครับ"


