อ่านไม่ออก
ข้อมูลจาก “ผลวิจัยพฤติกรรมการอ่านและการซื้อหนังสือของคนไทย”
โดย...ธนพล บางยี่ขัน
ข้อมูลจาก “ผลวิจัยพฤติกรรมการอ่านและการซื้อหนังสือของคนไทย” ของสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย พบว่า ระยะเวลาในการอ่านหนังสือเฉลี่ยต่อวันของคนไทย (อายุ 15-69 ปี) อยู่ที่ 28 นาที/วัน ลดลงจากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ เมื่อปี 2556 ที่พบว่าผู้อ่านหนังสือเฉลี่ยอยู่ที่ 37 นาที/วัน
อัตราการอ่านหนังสือที่น้อยลงเฉลี่ย9 นาที/วัน ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เป็นตัวเลขที่จะเหมือนไม่มีความหมายอะไรมากมาย เพราะการอ่านหนังสือเฉลี่ยวันละครึ่งชั่วโมงยังเป็นอัตราที่พอรับได้ แต่สิ่งที่แฝงอยู่ในตัวเลขนี้อยู่ตรงหากอัตราการลดลงยังเป็นเช่นนี้ต่อไป อีกไม่กี่ปีคนไทยจะกลับไปสู่จุดเดิมที่อ่านหนังสือกันปีละไม่กี่บรรทัด
อีกตัวเลขที่น่าสนใจอยู่ตรงกลุ่มอ่านหนังสือเป็นประจำ (มากกว่า 3 วัน/สัปดาห์) มีเพียง 40% ซึ่งเท่ากับตัวเลขคนไม่อ่านหนังสือเลย 39.7%
ความผิดปกติอยู่ตรงที่อัตราการอ่านหนังสือที่ไม่ได้สอดรับไปกับงานหนังสือฯ หรือกิจกรรมส่งเสริมการอ่านของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่พยายามจะยกระดับการอ่าน หรือแม้แต่แนวคิดที่จะปั้นให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองหนังสือโลกที่ยากจะเข้าใกล้ความจริง
แน่นอนว่าทางแก้ไขไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งหากเรายังไม่สามารถหาต้นเหตุที่แท้จริงได้
ปัจจัยหนึ่งอยู่ที่การเติบโตของอินเทอร์เน็ต จากงานวิจัยจะพบว่า หากเปรียบเทียบพฤติกรรมการอ่านหนังสือกับการใช้อินเทอร์เน็ต (เฉพาะคนในเขตเมือง)จะพบว่า คนไทยกว่า 71% ใช้อินเทอร์เน็ตและใช้เกือบทุกวัน โดยมีระยะเวลาการใช้อินเทอร์เน็ตอยู่ที่ 92 นาที/วัน หรือมากกว่าการอ่านหนังสือ 3 เท่าตัว โดยเฉพาะคนอายุต่ำกว่า 20 ปี จะใช้อินเทอร์เน็ตอยู่ที่ 224 นาที/วัน โดยไม่สามารถบอกได้ว่าเพื่อความบันเทิงหรือสาระความรู้
วิวัฒนาการที่ก้าวเข้าสู่ปลายยุค 2.0 รูปแบบการอ่านหรือเนื้อหาการอ่าน ย่อมต้องเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา
ปัญหาอยู่ตรงที่การคัดกรอง “เนื้อหา” ท่ามกลางกระแสข้อมูลที่ไหลเชี่ยวเวลานี้เพราะถ้าไล่อ่านข้อมูลทั้งหมดคงต้องใช้เวลาทั้งชีวิตหรืออีกหลายชีวิตกว่าจะอ่านหมด
การเลือกอ่านจึงเป็นสิ่งที่ควรจะพิถีพิถันมากกว่าปล่อยไปตามกระแสที่ถูกชี้นำด้วยกลไกต่างๆ รอบตัว
แม้แต่ “เฟซบุ๊ก” หนึ่งในสื่อสังคมที่มีอิทธิพลต่อการกำหนดทิศทาง “เนื้อหา”ยังเคยออกมาปฏิวัติตัวเอง ปรับเปลี่ยนปัจจัยต่างๆ ใน “อัลกอริทึม” เพื่อทำให้ผู้ใช้งานเห็นเนื้อหาที่มีสาระ มากกว่าเรื่องตลกขบขันหรือเรื่องไร้สาระ
ความยากจึงอยู่ที่การให้น้ำหนัก “คุณค่า” ของข้อมูลแต่ละชิ้น ซึ่งแต่ละคนย่อมมีความเห็นไม่เหมือนกับต้นทางข้อมูลหรือแหล่งที่มา ซึ่งทั้งหมดจะนำไปพิจารณาเป็นปัจจัยคัดกรอง เพื่อนำเสนอข้อมูลให้
ออกมาเหมาะสมกับแต่ละคน
เพราะหากจะคำนวณจากการกดไลค์ การเปิดอ่าน การแบ่งปัน เนื้อหาที่อัลกอริทึมคัดกรองออกมาคงเต็มไปด้วยรูปภาพเซลฟี่ หรือถ้อยความรำพึงรำพันเวิ่นเว้อ
ยังไม่รวมไปถึงกลไกโฆษณาที่ตีเนียนเข้ามาสู่หน้าจอแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ไม่ต่างจาก “หนังสือ” ที่หลายคนมองว่าเริ่มเข้าสู่ภาวะใกล้สูญพันธ์ุ ทั้งเนื้อหา รูปแบบ ภาษา ไปจนถึงกลวิธีการเขียนมีวิวัฒนาการที่ทำเอาคนรุ่นเก่าออกมาค่อนขอดว่าไม่เป็นไปตามขนบ จนสิ่งพิมพ์ที่ออกมาประหนึ่งจะเป็นของแปลกปลอมในแวดวงวรรณกรรม
แม้คนรุ่นใหม่จะย้อนว่าสิ่งที่จะทำให้หนังสือมีลมหายใจอยู่ต่อไปได้ คือ การพยายามเข้าถึงคนอ่านให้ได้มากที่สุด
ชวนให้นึกถึงภาพยนตร์ Liberal Arts (ปี 2012) ในชื่อไทย “ติวรักวิชาหัวใจ” ผลงานกำกับของ จอช แรดเนอร์ แม้หน้าหนังจะออกแนวหนังรัก แต่สอดแทรกมุมมองและเสียดสีแวดวงวรรณกรรมไว้อย่างแยบคาย
เจสซี ตัวเอกในเรื่องที่จัดเป็นหนอนหนังสือตัวยง ก้มหน้าก้มตาอยู่กับหนังสือมากกว่าโทรศัพท์มือถือ ถูกท้าทายจาก ซิบบี้ นางเอกในเรื่องที่อายุอ่อนกว่าพระเอกสิบกว่าปี ด้วยการซักถามว่า จะรู้ได้อย่างไรว่า นวนิยายแวมไพร์ที่ฮิตในกลุ่มคนรุ่นเธอไม่ดีหากยังไม่ได้อ่าน
ทำให้ เจสซี ลงทุนไปอ่านจนจบ ก่อนจะกลับมาให้คำตอบกับ ซิบบี้ อย่างเจ็บแสบว่า “This - is the worst book - ever - written - in English.” นี่น่าจะทำให้แฟนคลับแวมไพร์ หมาป่า ที่มีอยู่จำนวนไม่น้อยเคืองเอาง่ายๆ
แต่นั่นเป็นตัวอย่างที่จุดประเด็นให้ต้องกลับมาคิดกันใหม่ว่า คุณค่าของหนังสือคืออะไร รวมไปถึงเหตุผลอะไรที่คนไม่อ่านหนังสือ
ปัจจัยเหล่านี้ยังเป็นโจทย์ที่หลายคนยังอ่านไม่ออก


