ผมศักดิ์สิทธิ์กว่าธรรมกาย
การเติบโตของวัดพระธรรมกายตลอดช่วง 20-30 ปีที่ผ่านมา สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับศาสนาพุทธอย่างมาก
การเติบโตของวัดพระธรรมกายตลอดช่วง 20-30 ปีที่ผ่านมา สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับศาสนาพุทธอย่างมาก เพราะนอกจากหลักธรรมคำสอนจะฉีกจากแนวคำสอนของพระพุทธศาสนาก่อนหน้านี้การทำการตลาดผ่านแคมเปญต่างๆ เพื่อให้ลูกศิษย์บริจาคเข้าวัด ก็กลายเป็นฐานสำคัญที่ทำให้ขนาดของวัดและขนาดของศิษย์ใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ
สุลักษณ์ บอกว่า หลักการของธรรมกายนั้นชัดเจนว่าอุดหนุนทุนนิยมและบริโภคนิยม โดยมีหลักคำสอนชัดเจนว่า หากทำบุญเท่าไร จะได้อะไรตอบแทนกลับมาบ้าง
“เขาประกาศเลยครับ ทำบุญกี่แสนจะได้เห็นพระพุทธเจ้า คนมันก็ถูกมอมเมาไปทางนี้กันหมด แล้วธรรมกายเขาก็ถวายเงินกรรมการมหาเถรสมาคมบ้าง โดยที่พระไม่รู้สึกเลยว่านั้นเป็นการติดสินบน
สมเด็จฯ บางคนนี่เคลิ้มเลยว่าเดินบนดอกดาวเรืองแล้วนุ่ม ทั้งที่ไม่รู้เลยว่าผิดพระวินัย” สุลักษณ์ ระบุ
“แล้วเขาบวชพระทีเป็นหมื่นเป็นแสนรูป ทั้งที่จำนวนการบวชไม่ได้มีสาระสำคัญอะไรเลย ยิ่งบวชมากไม่ใช่ได้บุญนะครับ อย่างวัดท่านอาจารย์ชา (หลวงปู่ชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง) ต้องไปเป็นปะขาวก่อน 1 ปี เปลี่ยนนิสัยจากฆราวาสเป็นพระ เพราะฉะนั้นไม่ใช่ของง่าย บวชเป็นหมื่นเป็นแสน นี่คือเห็นการบวชเป็นของเล่นครับ” สุลักษณ์ ระบุ
นอกจากนี้ ธรรมกายยังใช้ลูกศิษย์อย่างนักการเมือง เจ้าของบริษัทใหญ่ เพื่อให้อุปถัมภ์ค้ำชู อย่างไรก็ตามหากรัฐบาลชุดนี้ซึ่งเป็นรัฐบาลเพื่อการปฏิรูปกล้าใช้ระบบตรวจสอบการเงินที่เข้มแข็ง รวมถึงเอาผิด หากตรวจพบความไม่ชอบมาพากลจริง วัดพระธรรมกายก็ล้มได้ไม่ยากนัก
“เขาไม่ได้ศักดิ์สิทธิ์อะไรหรอก ตอนที่พระลิขิตออกมาครั้งแรก ผมออกทีวีกับหลวงเตี่ย (พระธรรมราชานุวัตร อดีตรองเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม) แล้วทีวีชุดนี้ที่อเมริกา เขาบอกใครต้องการเขาให้ฟรีหมด แจกกันสองพันกว่าชุด ผมก็บอกว่าธรรมกายไม่ดียังไง ธรรมกายประชุมกันเลย 4 หมื่นคน จะเผาหุ่นผม แต่ผมศักดิ์สิทธิ์กว่า เพราะพอจะเผา ฝนตกครับ แล้วสุดท้ายฟ้าผ่า สุดท้ายงานก็ล่ม นี่กลายเป็นว่าผมศักดิ์สิทธิ์มากกว่าอีก”
แม้คณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ที่มี ไพบูลย์ นิติตะวัน เป็นประธาน จะยุบเลิกไปแล้ว แต่สุลักษณ์ก็สนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ดึงคนจากคณะกรรมการมาทำหน้าที่ศึกษาและปฏิรูปศาสนาในเชิงระบบต่อ มากกว่าจะหวังพึ่งให้มหาเถรสมาคมและสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติมาทำหน้าที่ปฏิรูป เพราะทั้งสองหน่วยงานในมุมมองสุลักษณ์ เป็นเหมือน “เชื้อโรค” ที่ไม่มีทางรักษาโรคได้
“หลายคนในกรรมการมีกึ๋น อย่าง สันติสุข โสภณศิริ นี่เขาก็จับเรื่องนี้มานาน หรืออย่าง มโน (นพ.มโน เลาหวณิช) นี่เขาเคยเป็นเบอร์ 3 ของธรรมกาย เพราะฉะนั้นเราต้องให้คนพวกนี้ทำงานมากๆ ผมยังหวังว่าเผด็จการอย่างคุณประยุทธ์จะกล้าทำเรื่องนี้ เพราะถ้าไม่ทำ คณะสงฆ์เราก็จะเสื่อมลงไปเรื่อยๆ
อย่างไรก็ตาม หากฆราวาสไม่เปลี่ยนแนวคิดที่มีต่อพุทธศาสนานั้น ก็เป็นไปได้ที่จะเกิดวัดอย่างวัดพระธรรมกาย หรือวัดที่เน้นพุทธพาณิชย์ เกิดขึ้นอีกเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นหลักการที่อาจสำคัญกว่าก็คือพุทธศาสนิกชน ถึงเวลาคิดแล้วว่า จะทำบุญใส่บาตรกันเหมือนเดิม หรือจะกลับมาฉุกคิดให้มากขึ้น
“เดี๋ยวนี้เวลาใส่บาตร ขออะไรกัน ขอให้ถูกหวย ขอให้รวย นี่ไม่ใช่ศาสนาพุทธ เมื่อก่อนใส่บาตรก็เพื่อลดความเห็นแก่ตัวจนถึงนิพพาน ให้คณะสงฆ์ดำรงชีพอยู่ได้ เพราะพระอยู่ได้ด้วยสิ่งนี้”
“แต่ในมุมมองพวกเราจำนวนมาก กลับมองว่าศาสนาพุทธคือการไปปลุกเสกพระเครื่อง เราก็ไม่รู้สึกว่าผิดเลย กลายเป็นไสยศาสตร์มันคุมคนหมด เช้าคนมาใส่บาตร ขอถูกหวย หากไม่กลับไปหาสาระที่แท้จริง อย่างการให้คนลดความโลภ โกรธ หลง รู้จักถาม รู้จักเถียง เราก็จะมีแต่วัดและพระที่มอมเมาเกิดขึ้นใหม่เรื่อยๆ” สุลักษณ์ แสดงความคิดเห็น
สุลักษณ์ บอกอีกว่า ขณะนี้ถึงเวลาแล้วที่ต้องกลับไปยึดหลักคิดสมัยโบราณ ที่บอกว่าเมืองจะศักดิ์สิทธิ์ได้ ต้องมีพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์ และมีพระสงฆ์เป็นที่เคารพนับถือมาเป็นพระราชาคณะ มากกว่าจะเป็นพระสงฆ์อะไรก็ได้ที่เข้ามาทำพิธีอย่างเดียว
“ในสมัยโบราณนั้นมองว่า ราชธานีนั้นศักดิ์สิทธิ์ มองว่า เมืองอื่นๆ การที่จะศักดิ์สิทธิ์ได้ก็ต้องมีพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์ สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ไปตีเวียงจันทน์ ก็ต้องอัญเชิญพระแก้วมรกตมา พระอนุชาธิราชไปตีเมืองเชียงใหม่ก็อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์มา การนำมาไว้ที่เมืองหลวงนั้นถือว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ แล้วก็ตั้งพระราชาคณะที่มาจากพระที่มีศีลาจารวัตรที่งดงามขึ้น”
“อย่างสมเด็จพระพุฒาจารย์โตนี่ ท่านหนีนะครับ เพราะท่านกลัวท่านไม่ดีพอ ไม่รับสมณศักดิ์ จนรัชกาลที่ 4 ต้องมาขอให้ท่านเป็น เพราะถือเป็นศรีแก่บ้านเมือง คอยเตือนสติพระเจ้าแผ่นดิน แต่ตอนนี้ตั้งไปอย่างไม่รู้เรื่องเลย อะไรเคยทำก็ทำกัน ติดสินบนกันแบบนี้ ไม่เข้าหาสาระของศาสนาพุทธที่สอนให้คนละความโลภ โกรธ หลง รู้จักถามปัญหา รู้จักเถียง แต่ไม่มีในเมืองไทยเลย หากเป็นกันอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ เราก็จะถอยหลังไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นเราต้องช่วยกันปกป้องสาระของศาสนาพุทธไว้ครับ อย่าให้เรื่องอื่นมาบดบัง” สุลักษณ์ ระบุ


