posttoday

โฆษกสำนักพุทธฯแจงมส.ยังไม่มีมติปม "ธัมมชโย" ปาราชิก

24 กุมภาพันธ์ 2558

"โฆษกสำนักพุทธฯ"แจง มหาเถรยังไม่มีการหารือปม "ธัมมชโย" ปาราชิก ย้ำยังไม่มีมติออกมา ขณะที่พระลิขิตสังฆราช ไม่ใช่ พระบัญชา เป็นประเด็นต้องตีความ

"โฆษกสำนักพุทธฯ"แจง มหาเถรยังไม่มีการหารือปม "ธัมมชโย" ปาราชิก ย้ำยังไม่มีมติออกมา ขณะที่พระลิขิตสังฆราช ไม่ใช่ พระบัญชา เป็นประเด็นต้องตีความ 

เมื่อวันที่ 24 ก.พ. นายสมชาย สุรชาตรี โฆษกสำนักงานพระพุทธศาสนา (พศ.) กล่าวถึงการประชุมมหาเถรสมาคมเมื่อวันที่ 20 ก.พ.ว่า ในการประชุมไม่มีการหารือกรณี พระเทพญาณมหามุนี หรือ พระธรรมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย สมควรต้องปาราชิกหรือไม่

ทั้งนี้ในการประชุมมหาเถรฯไม่เหมือนกับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่จะโหวตเรื่องนั้นเรื่องนี้ด้วยเสียงข้างมากเท่าไหร่ เสียงข้างน้อยเท่าไหร่ เมื่อสงฆ์มีมติจะให้เลขามหาเถรสมาคม ซึ่งก็คือ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ออกมาเผยถึงเรื่องการประชุม ในการประชุมสงห์หากมีมติในบางเรื่อง ประธานในการประชุมก็อาจถามความเห็นพระรูปอื่นบ้างว่า รูปไหนมีความเห็นเป็นอย่างอื่นบ้าง

"ที่มีข่าวออกมาว่าในการประชุมครั้งนี้ มีมติของมหาเถรฯเห็นว่า พระธัมมชโยไม่ต้องปาราชิกนั้น ผมก็ไม่ทราบว่าออกมาได้อย่างไร บอกได้เพียงว่าการประชุมครั้งนั้นยังไม่มีมติใดๆออกมา มีเพียงการรับทราบตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนารายงานคณะกรรมการพิทักษ์พระพุทธศาสนา แล้วก็มีลำดับเหตุการณ์ ท่านก็บอกว่าไปเขียนใหม่ให้มันดีนะ เพื่อจะได้เข้าใจตรงกัน"นายสมชายกล่าว

นายสมชาย กล่าวตอบคำถามที่ว่า การคืนเงินของพระธัมมชโยเกิดขึ้นหลังจากสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกฯมีพระลิขิตออกมาแล้ว แบบนี้ที่ว่าผิดปาราชิกหรือไม่ โดยระบุว่า เมื่อก่อนยังไม่มีระเบียบว่าด้วยการถือครองที่ดินสำหรับพระ พอมีพระลิขิตออกมา ก็นำเข้าที่ประชุม ตอนนั้นยังไม่เป็น พศ. ยังเป็นกรมศาสนาไปร่างกฎหมายออกมา ส่วนกรณีที่มีพระลิขิตออกมาก่อนที่จะมีการคืนทรัพย์ โดยทรัพย์ที่ว่านั้นปรากฎว่าเป็นชื่อของพระธัมมชโยไม่ใช่ชื่อของวัด ถามว่าผิดไหม ก็คงไม่ผิด ถ้าทรัพย์นั้นเป็นชื่อของพระ มีสิทธิ์ถือครองได้ แต่ถ้าลาสิกขา หรือมรณภาพโดยที่ไม่มีการทำพินัยกรรมไว้ ทรัพย์นั้นจะตกเป็นทรพย์สินของวัดโดยทันที แต่ถ้ามีญาติโยมมอบที่ดินให้วัดแล้วหนีไปแล้วโอนเป็นชื่อตัวเองแบบนั้นถือ ว่าปาราชิกทันที ถือว่าเจตนาลักทรัพย์

"ที่พูดเพราะคนมักมองว่า ผมพูดเป็นเหมือนโฆษกวัดพระธรรมกาย แต่ไม่ใช่ ผมเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ พูดได้เพียงพยานหลักฐานที่มี จะพูดไปมากกว่าที่มีไม่ได้”นายสมชายกล่าว

เมื่อถามว่ามีการตรวจสอบหรือไม่ว่าการโอนทรัพ์สินของพระธัมมชโยเป็นไปด้วยใจที่บริสุทธิ์หรือว่าทำเพราะมีพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชฯ นายสมชายกล่าวว่า บริสุทธิ์แน่นอนเพราะพระธัมมชโยเขียนเจตนา คือในหนังสือ เมื่อวันที่ 9 พ.ค.2542 ปีเดียวกับที่มีพระลิขิต โดยในหนังสือเขียนว่า แสดงเจตนาต้องการโอนทรัพย์สินดังกล่าวให้เป็นของสงฆ์ การมีหนังสือแสดงเจตนาถือว่าทำด้วยใจบริสุทธิ์ ไม่มีใครบังคับ

ทั้งนี้กการยินยอมดังกล่าวเกิดหลังจากมีพระลิขิต เพราะว่า พระลิขิตออกมาเมื่อวันที่ 26 เม.ย.2542 ที่จริงพระธัมมชโยไม่ต้องโอนก็ได้ เพราะทรัพย์สินดังกล่าวเป็นชื่อของท่านในปี 2542 มีพระลิขิตออกมา 3 ฉบับ หลังวันที่ 9 พ.ค.ก็มี แต่พระลิขิตที่ออกมาก่อนหน้านั้นไม่มีการรับรอง ไม่มีการเซ็นรับรองสำเนาเลยไม่ได้ดู เอามาดูแค่พระลิขิตที่ออกเมื่อวันที่ 26 เม.ย. เท่านั้น โดยพระลิขิตในวันที่ 26 เม.ย.นั้นเขียนถึงเรื่องของคำสอนของวัดพระธรรมกายที่บิดเบือนจากคำสอนของ พระพุทธเจ้า และพูดถึงเรื่องการโอนที่ดิน แต่ก็มีวรรคสองที่เขียนว่า "ไม่คิดที่จะให้มีโทษ แต่ถ้าถือแล้วเจตนาไม่คืน ถือว่ามีเจตนาเป็นปาราชิก" พระลิขิตนั้นเป็นของจริง เพราะมีเลขาฯมหาเถรสมาคมลงนาม และมีลายเซ็นของสมเด็จพระสังฆราชฯ และมีคนรับรองสำเนา คนรับรองสำเนาคือเลขาฯพระสังฆราช

นายสมชายกล่าวว่า ที่ดินของวัดพระธรรมกายในปัจจุบัน มีทั้งชาวบ้านให้ และที่ซื้อมาก็มี เมื่อก่อนวัดพระธรรมกายมีพื้นที่ไม่มาก และมีการซื้อเพื่อขยายพื้นที่วัด โดยใช้เงินของวัดซื้อ ที่พูดไม่ได้เข้าข้าง แต่หลักฐานที่มีเป็นอย่างนั้น

นายสมชายกล่าวว่า มหาเถรสมาคม(มส.) เคยประชุมโดยได้ยกหนังสือของพระธัมมชโยเข้าที่ประชุม มีมติออกมาว่าให้กรมการศาสนาและเจ้าคณะภาคที่ 1 ไปดำเนินการตามที่พระธัมมชโยมีเจตนา และได้มีการมอบให้ไปดำเนินการเรื่องอื่นๆอีก อาจจะเป็นเรื่องการบิดเบือนคำสอนของพระพุทธศาสนา และระหว่างที่จะดำเนินการตามมติดังกล่าวของมส. มีคนไปฟ้องร้องคดีอาญา และเมื่อมีการดำเนินคดีทางโลกแล้ว คดีทางพระสงฆ์จะต้องหยุดลงทันที

“ตอนนี้มีคนตีความว่า พระลิขิตคือคำสั่งหรือเปล่า จริงๆแล้วถ้าสมเด็จพระสังฆราชมีคำสั่งจะเรียกว่า พระบัญชา ส่วนพระลิขิตนั้นคือหนังสือที่ส่งถึงหน่วยงานต่างๆทั่วไป แต่ก็ยังมีคนตีความว่า จดหมายของสมเด็จพระสังฆราชต้องทำตามไม่ใช่หรือ อย่าลืมสมเด็จพระสังฆราชเป็นส่วนหนึ่งในกรรมการของมหาเถรสมาคม เมื่อมีพระลิขิตออกมาถึงกรมการศาสนา กรมศาสนาก็นำเข้าสู่มหาเถรสมาคมอยู่ดี มหาเถรสมาคมก็ต้องมีหน้าที่พิจารณาว่าดำริเรื่องอะไร และเป็นคำสั่งหรือไม่ ส่วนเรื่องที่บอกว่าอย่างนี้พระธัมมชโยก็ปาราชิกแล้ว เรื่องนี้ต้องดูกันที่เจตนา”นายสมชายกล่าว

ขณะที่ คำว่า ปาราชิกโดยทันทีนั้น ความผิดต้องปรากฏชัด เช่น นอนกับผู้หญิงแล้วจับได้คาหนังคาเขา ถ้าจับไม่ได้ คาหนังคาเขา ก็ยังไม่ถือว่าเป็นปาราชิกโดยทันที

เมื่อถามว่า สำนักพุทธศาสนาอาจต้องไปดูเรื่องอื่นๆของวัดพระธรรมกาย เช่นเรื่องคำสอนหรือไม่ นายสมชายกล่าวว่า ต้องไปดู เพราะมีคนร้องเข้ามา แต่เรื่องแบบนี้ต้องพิสูจน์ได้ ซึ่งก็พิสูจน์ได้ยาก เป็นเรื่องละเอียดอ่อน เหมือนการกล่าวอ้างอุตริ เพราะเคยกล่าวอ้างว่าได้พบสตีฟ จอบส์ ที่เสียชีวิตไปแล้ว ก็ไม่รู้ว่าได้ไปพบจริงหรือไม่

เมื่อถามว่าการรื้อคดีของพระธัมมชโยขึ้นมา เกี่ยวกับการคัดเลือกสมเด็จพระราชาคณะขึ้นดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชหรือไม่ นายสมชายตอบว่า เรื่องนี้อยู่นอกเหนือความคิดเห็นของผม เป็นเรื่องที่ทุกคนคิดไปได้ โดยส่วนตัวแล้วมองว่าตามหลักในการจะเป็นพระสังฆราช คณะสงฆ์ได้เขียนกฎหมายไว้ว่า ให้มหาเถรสมาคมเสนอต่อสมเด็จพระราชาคณะ ที่มีความอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ แล้วนำขึ้นทูลเกล้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ข่าวล่าสุด

ราชกิจจาฯ ออกกฎใหม่ ปรับเพดานค่าจ้าง ม.33 สูงสุด 23,000 บาท