อนาคตใหม่ ของเศษไม้ยางพารา?
โดย...จุฑาภรณ์ คชสารทักษิณ
โดย...จุฑาภรณ์ คชสารทักษิณ
ก่อนอื่นดิฉันอยากชวนผู้อ่านมาทำความรู้จักกับ เชื้อเพลิงไม้อัดแท่ง (Wood Pellet) กันก่อนเพื่อจะได้เก็นภาพ
เชื้อเพลิงไม้อัดแท่งเป็นเชื้อเพลิงประเภทหนึ่งที่ผลิตจากขี้เลื่อยหรือเศษไม้นำมาบดให้เป็นผงละเอียด จากนั้นนำไปอบแห้งเพื่อลดค่าความชื้น แล้วนำมาเข้าเครื่องอัดโดยใช้แรงดันสูงเพื่อให้สารลิกนินในเนื้อไม้ละลายออกมา ส่งผลให้ไม้เกาะติดกัน
ข้อดีของเชื้อเพลิงไม้อัดแท่ง ได้แก่ ความสะดวกในการขนส่ง การปล่อยขี้เถ้าน้อยกว่าถ่านหิน การให้พลังงานความร้อนสูง (ประมาณ 4,500 กิโลแคลอรี/กิโลกรัม) และการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำ
ในต่างประเทศมีการใช้เชื้อเพลิงประเภทนี้มาหลายสิบปีแล้ว และได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในช่วงเกือบสิบปีที่ผ่านมา โดยได้รับแรงผลักดันจากกฎเกณฑ์ของหลายประเทศที่ต้องการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy)
ยกตัวอย่างเช่น สหภาพยุโรปที่กำหนดเป้าหมายให้การบริโภคพลังงานขั้นสุดท้ายมาจากพลังงานหมุนเวียนร้อยละ 20 ภายในปี 2563 เป็นต้น
ทั้งนี้ จุดเปลี่ยนสำคัญมาจากพิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocol) ต่อท้ายอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) ซึ่งกำหนดให้ประเทศที่ลงนามลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงโดยเฉลี่ยร้อยละ 5.2 เมื่อเทียบกับระดับในปี 2533
สำหรับทวีปเอเชีย มีการใช้เชื้อเพลิงไม้อัดแท่งทั้งในการผลิตไฟฟ้า และการทำความร้อน (ทั้งภาคอุตสาหกรรมและภาคครัวเรือน) เช่นเดียวกันกับสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป โดยมีจีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น เป็นประเทศผู้บริโภคสำคัญ
อย่างไรก็ตาม จีนเป็นประเทศที่ผลิตเชื้อเพลิงไม้อัดแท่งเพื่อใช้ในประเทศเป็นส่วนใหญ่ ทำให้มีการนำเข้าจากต่างประเทศต่ำ
หันกลับมาที่ประเทศไทย ธุรกิจการผลิตเชื้อเพลิงไม้อัดแท่งในไทย ผลิตโดยใช้ขี้เลื่อยและเศษไม้จากไม้ยางพาราเป็นวัตถุดิบสำคัญ และเป็นธุรกิจที่ได้รับการกล่าวถึงอย่างมากในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา โดยถูกมองว่าเป็นธุรกิจที่มีอนาคต ทำให้มีผู้ประกอบการสนใจที่จะลงทุนมากขึ้น (ปัจจุบันมีผู้ประกอบการประมาณ 20 ราย คาดว่าในปี 2558 จะมีโรงงานเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว)
แรงดึงดูดสำคัญมาจากความต้องการของประเทศเกาหลีใต้ ที่สั่งซื้อเชื้อเพลิงไม้อัดแท่งจากไทยเป็นจำนวนมาก เนื่องจากโรงไฟฟ้าซึ่งเป็นภาคส่วนที่ใช้เชื้อเพลิงไม้อัดแท่งมากที่สุดได้รับเครดิตการใช้เชื้อเพลิงชนิดนี้ค่อนข้างสูง และสูงกว่าเชื้อเพลิงหลายประเภท ซึ่งช่วยให้ดำเนินงานตามเกณฑ์ Renewable Portfolio Standard (RPS) ได้ง่ายขึ้น จากประกอบกับการผลิตในประเทศไม่เพียงพอ โดยจากรายงานของ Enerone’s พบว่าในเดือนพ.ย. 2556 เกาหลีใต้นำเข้าเชื้อเพลิงไม้อัดแท่งเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 300
ถ้าถามว่า ธุรกิจเชื้อเพลิงไม้อัดแท่งจะเป็นธุรกิจที่อยู่รอดในระยะยาวได้หรือไม่ หรือจะเป็นเพียงธุรกิจตามกระแสที่มาแล้วก็ไปในที่สุด กุญแจที่จะไขโจทย์นี้ได้คงเป็นเรื่องของอุปสงค์เป็นสำคัญ ดังนั้นนอกเหนือจากการพึ่งพิงความต้องการจากตลาดต่างประเทศแล้ว ควรมีการส่งเสริมการใช้เชื้อเพลิงไม้อัดแท่งภายในประเทศควบคู่กันไปด้วย เพื่อสร้างอุปสงค์ที่ยั่งยืน
นอกจากนี้ เพื่อให้การประกอบธุรกิจนี้ประสบผลสำเร็จ ยังมีอีก 3 ปัจจัยที่ควรให้ความสำคัญ ได้แก่1.วัตถุดิบ ผู้ประกอบการควรมีแหล่งวัตถุดิบที่เพียงพอและต่อเนื่อง เนื่องจากการรักษาระดับความร้อนของเครื่องจักร ทำให้ต้องเดินเครื่องติดต่อกันเป็นเวลานาน จึงต้องการวัตถุดิบที่มากพอ ผู้ประกอบการยังอาจประสบปัญหาการแย่งซื้อวัตถุดิบไม้สับ (Woodchip) หรือขี้เลื่อยกับโรงไฟฟ้าชีวมวลได้
2.คุณสมบัติเครื่องจักร เชื้อเพลิงชีวมวลแต่ละชนิดมีคุณสมบัติทางอินทรีย์ที่แตกต่างกัน จึงต้องการเครื่องจักรที่มีคุณสมบัติต่างกันด้วย ดังนั้นเครื่องจักรที่นำเข้าอาจไม่สามารถใช้งานได้ทันที ผู้ประกอบการจึงจำเป็นต้องมีองค์ความรู้ในการปรับแก้เครื่องจักร โดยเฉพาะหัวอัด เพื่อให้สามารถใช้งานกับวัตถุดิบของตนได้ดี
3.การควบคุมต้นทุน ธุรกิจเชื้อเพลิงไม้อัดแท่งมีอัตรากำไรสุทธิไม่สูงนัก ประกอบกับราคาขายเชื้อเพลิงอัดแท่งไม่สามารถปรับเพิ่มได้มาก เพราะมีสินค้าทดแทนอยู่หลายชนิด ดังนั้นการควบคุมต้นทุน ซึ่งรวมถึงต้นทุนการขนส่งจึงเป็นสิ่งสำคัญ
หากผู้ประกอบการลงทุนหลังจากพิจารณาปัจจัยทุกด้านอย่างรอบคอบแล้ว เชื่อแน่ว่าอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงไม้อัดแท่งในประเทศไทยจะสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน
บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล จึงไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย


