วิกฤตเชื่อมั่นประชาชนต่อตำรวจไทย
ตำรวจเป็นหน่วยงานที่สำคัญอย่างยิ่งในสังคมไทยมีหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย ป้องกันปราบปรามอาชญากรรม บำบัดทุกข์บำรุงสุขให้กับประชาชน ไม่ว่าโลกและสังคมจะเปลี่ยนแปลงไปเร็วแค่ไหน หรือประเทศไทยตกอยู่ในสถานการณ์ใด ตำรวจมักมีส่วนร่วมต่อทุกเหตุการณ์เสมอ ซึ่งมีความใกล้ชิดโดยตรงกับประชาชนคนไทย
ตำรวจเป็นหน่วยงานที่สำคัญอย่างยิ่งในสังคมไทยมีหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย ป้องกันปราบปรามอาชญากรรม บำบัดทุกข์บำรุงสุขให้กับประชาชน ไม่ว่าโลกและสังคมจะเปลี่ยนแปลงไปเร็วแค่ไหน หรือประเทศไทยตกอยู่ในสถานการณ์ใด ตำรวจมักมีส่วนร่วมต่อทุกเหตุการณ์เสมอ ซึ่งมีความใกล้ชิดโดยตรงกับประชาชนคนไทย
ทั้งนี้ ตำรวจไทยเป็นองค์กรขนาดใหญ่ มีบุคลากรกว่า 2 แสนนาย มีสถานีและหน่วยบริการตั้งอยู่ทุกพื้นที่ มีหน่วยงานเฉพาะทางหลายด้าน เช่น ตำรวจท่องเที่ยว ตำรวจทางหลวง หน่วยงานที่ทำหน้าที่ด้านการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมพิเศษต่างๆ ความหลากหลายของภารกิจหน้าที่
ส่งผลให้การทำงานของตำรวจเกี่ยวพันใกล้ชิด ชี้คุณและโทษให้กับประชาชนและสังคม จึงไม่แปลกที่การกระทำหรือการตัดสินจะเกิดการกระทบกระทั่งได้ง่าย โดยเฉพาะกระแสโซเชียลมีเดีย ข้อมูลต่างๆ ถูกนำเสนอออกมาอย่างไม่ผ่านการกลั่นกรอง
ปัจจุบันเหตุการณ์ข่าวสารที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมา เช่น คดีฆาตกรรมนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษที่เกาะเต่า จ.สุราษฎร์ธานี กรณีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่พัวพันทุจริตคอร์รัปชั่น กรณีภาพหรือคลิปที่ประจานตำรวจทำความผิดเอง กรณีตำรวจฆ่าตัวตาย กรณีการโยกย้ายนายตำรวจ
น่าจะทำให้สรุปได้ว่า ความเชื่อมั่นของสังคมต่อองค์กรตำรวจไทยอยู่ในขั้นวิกฤต เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ เพราะหากประชาชนไม่เชื่อมั่นต่อผู้บังคับใช้กฎหมายแล้ว ย่อมกระทบการเคารพกฎหมายซึ่งเป็นกติกาของสังคม จนนำมาสู่การแสวงหาวิธีการจัดการกันเอง เช่น การถ่ายคลิปวิดีโอ การโพสต์ข้อความเรียกร้องความเป็นธรรมจากสังคม จนทำให้สังคมตัดสินจากข้อมูลด้านเดียว ว่าผู้อยู่ฝั่งตรงข้ามเป็นคนผิด ทั้งที่ยังไม่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม สังคมแตกแยก การทำงานของตำรวจยิ่งยากขึ้นในการรวบรวมพยานหลักฐานและขอความร่วมมือจากประชาชน หากมองย้อนกลับไปที่ต้นตอปัญหา ส่วนหนึ่งมาจากการขาดความเชื่อมั่นต่อตำรวจไทย
อย่างไรก็ตาม เรื่องที่จะกล่าวต่อไปนี้ เป็นพื้นฐานในการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจ ที่มีผลต่อความเชื่อมั่นของประชาชนต่อตำรวจ ข้อแรก ตำรวจต้องเข้าถึงได้ง่ายและสะดวกเมื่อประชาชนต้องการติดต่อตำรวจ เพราะผู้ที่เดือดร้อนย่อมคาดหวังให้เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบรับทราบเรื่องดังกล่าวในเบื้องต้น สายด่วนของตำรวจจึงต้องพร้อมตลอด กรณีการแกล้งโทรมาก่อกวนเป็นเรื่องที่ตำรวจต้องไปบริหารจัดการ แต่ไม่สามารถใช้เป็นข้ออ้างอยู่เสมอว่าทำให้สายโทรศัพท์ไม่ว่าง
ข้อที่สอง ตำรวจต้องรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน เพราะสังคมรับทราบการประชาสัมพันธ์เรื่องต่างๆ ของตำรวจ ย่อมคาดหวังว่าการปฏิบัติที่จริงจังของเจ้าหน้าที่ โครงการต่างๆ ที่จัดทำต้องทำต่อเนื่อง ไม่ใช่เพียงช่วงเวลาหนึ่งตามกระแส เช่น โครงการกวดขันจับกุมผู้กระทำความผิดกฎจราจร เมื่อได้รับแจ้งเหตุแล้วควรมาพบผู้แจ้งในเวลาที่สมควรตามที่ได้บอกไว้ รวมทั้งระหว่างขั้นตอนการดำเนินคดีต้องรักษา
คำพูดที่ได้อธิบายกับคู่กรณี อะไรที่ทำไม่ได้หรือนอกเหนืออำนาจหน้าที่ต้องอธิบายให้เข้าใจชัดเจน
ข้อที่สาม ตำรวจต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างเสมอภาคกับทุกคน เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่ไม่มีเส้นสาย จึงคาดหวังการบริการที่เท่าเทียมกัน ไม่ควรมีอภิสิทธิ์ชนที่ได้รับการยกเว้นในกระบวนการปฏิบัติงานของตำรวจ เช่น เมื่อตั้งด่านตรวจก็ต้องตรวจไม่มีข้อยกเว้น หรือการตรวจตราทุกบ้านในพื้นที่รับผิดชอบต้องเท่าเทียมกัน ไม่ตรวจเฉพาะที่มีตู้แดงหน้าบ้าน
ข้อที่สี่ ตำรวจต้องไม่กระทำผิดเสียเอง เพราะประชาชนคาดหวังการเป็นแบบอย่างที่ดีจากผู้บังคับใช้กฎหมายและดูแลกติกาของสังคม เมื่อตำรวจทำผิดเพียงส่วนน้อย ทำให้คนไม่ศรัทธาตำรวจทั้งองค์กร แม้กระทั่งการจอดรถตำรวจในที่ห้ามจอด ก็เป็นประเด็นสังคมได้
ข้อที่ห้าเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด คือ ตำรวจต้องไม่ละเลยในเรื่องเล็กน้อยที่ได้รับการร้องเรียน ยิ่งเป็นเรื่องเล็กน้อยและสร้างความเดือดร้อนกับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ย่อมยิ่งคาดหวังว่าตำรวจจะสามารถจัดการให้ได้ เช่น กรณีข้างบ้านหรือสถานบริการส่งเสียงดัง การทิ้งขยะเน่าเหม็น การจอดรถกีดขวางทางเข้าออกหรือการจราจร
ในมุมมองของผู้เขียนอยากจะนำเสนอว่า การติดป้ายประชาสัมพันธ์ของตำรวจในเรื่องการให้บริการอย่างเป็นมิตร การจัดตั้งศูนย์ป้องกันปราบปรามอาชญากรรมต่างๆ การใช้งบประมาณจัดซื้อเทคโนโลยีใหม่ๆ ในการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจ การแถลงข่าวการจับกุมคดีใหญ่ๆ การจัดระดมกำลังพลในช่วงเทศกาล เพื่อป้องกันปราบปรามอาชญากรรมที่เป็นข่าวกันอยู่นั้น แม้กระทั่งเอาอำนาจสอบสวนไปอยู่กับอัยการ หรือการปฏิรูปองค์กรตำรวจ
เรื่องเหล่านี้อาจมีผลต่อประสิทธิภาพการบริหารงานของรัฐบาลหรือของตำรวจ แต่ในความรู้สึกของประชาชนคนหนึ่ง กลับไม่ได้มีผลเท่าไรนักกับความเชื่อมั่นต่อตำรวจ หากแต่เป็นเรื่องที่กล่าวมาทั้งห้าข้อต่างหากที่มีผลต่อความเชื่อมั่นในตำรวจ เพราะกระทบโดยตรงกับวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของคนในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทุกข้อเป็นเรื่องที่ตำรวจสามารถทำได้ไม่ยาก ไม่ต้องใช้งบประมาณหรือเทคโนโลยีชั้นสูง และถือเป็นหน้าที่พื้นฐานของตำรวจทุกคนอยู่แล้วด้วยซ้ำ
โดยสรุป หากตำรวจไทยทำตามหน้าที่ เอาใจใส่กับคุณภาพชีวิตของชาวบ้านในพื้นที่ ปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นธรรม เสมอภาค ต่อเนื่อง และเข้าถึงได้ง่ายแล้ว ความเชื่อมั่นของประชาชนต่อตำรวจไทยจะเพิ่มขึ้นเอง ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับผู้มีอำนาจและผู้บริหารตำรวจ ในการบริหารจัดการและสนับสนุนให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถปฏิบัติหน้าที่ตามปกติได้อย่างเต็มที่


