ระบบเลือกตั้ง แบบไตรวิทยาคม
คสช.ท่านให้คิดปฏิรูปที่เป็นแบบไทยๆ วันนี้ก็เลยปัดฝุ่นความคิดเก่าๆ ที่ผู้เขียนเคยลงหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งเมื่อ 16-17 ปีก่อน
คสช.ท่านให้คิดปฏิรูปที่เป็นแบบไทยๆ
วันนี้ก็เลยปัดฝุ่นความคิดเก่าๆ ที่ผู้เขียนเคยลงหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งเมื่อ 16-17 ปีก่อน โดยได้รับความกรุณาส่งเสริมนำลงจากพี่วิภา สุขกิจ (ผู้สื่อข่าวรุ่นใหญ่ซึ่งล่วงลับไปแล้ว เคยติดตามคณะของนายกรัฐมนตรี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ไปเปิดสัมพันธไมตรีกับจีนใน พ.ศ. 2518 คู่กันกับพี่บัญญัติ ทัศนียเวช ที่ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์เรียกว่า “คู่แฝดขาวดำ”) ซึ่งผู้เขียนใช้ชื่อบทความในครั้งนั้นว่า “ระบบการเลือกตั้งแบบทูอินวัน” หรือในชื่อไทยว่า “ระบบหนึ่งเขต 2 ร่าง”
ตอนนั้นประเทศไทยเพิ่งจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2540 ออกมาใหม่ๆ กำลังจะร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเลือกตั้งและพรรคการเมือง หรือที่เรียกว่า “กฎหมายลูก” เพราะถูกบังคับให้ออกโดยตัวรัฐธรรมนูญนั้นนั่นเอง โดยได้เริ่มใช้กับการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาใน พ.ศ. 2543 และการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในอีก 1 ปีถัดมา
ช่วงนั้นกระแสเลือกตั้งแบบ “หนึ่งเขตหนึ่งคน” หรือ One Man One Vote มาแรงมาก นั่นก็คือคงจะหลีกเลี่ยงการเลือกตั้งแบบนี้ไม่ได้ ผู้เขียนในฐานะที่ตกอยู่ในกระแสการเมืองแบบใหม่นี้ด้วยคนหนึ่ง แต่ในอีกส่วนหนึ่งก็ตกอยู่ภายใต้กระแสวัฒนธรรมทางการเมือง โดยเฉพาะรูปแบบการเลือกตั้งแบบ “พวง” ต่างๆ ทั้งพวงเล็ก พวงใหญ่ พวงจังหวัด มาอย่างต่อเนื่อง รู้สึกพะว้าพะวังว่าการเลือกตั้งแบบใหม่นี้อาจจะนำความวุ่นวายบางอย่างมาสู่สังคมไทย เช่น ความรุนแรงในการหาเสียง การแตกแยกในระดับพื้นที่ ความชุลมุนในตัวพรรค ฯลฯ จึงมีความคิดอย่างหนึ่งขึ้นมา
เป็นความคิดที่เรียกว่า “รักพี่เสียดายน้อง”
ภายใต้ระบบการเลือกตั้งที่คนไทยคุ้นเคยมาหลายสิบปี คือระบบพวงต่างๆ เหล่านั้น มันได้สร้างวัฒนธรรมของการ “ปรองดอง” คือการรอมชอมตกลงกันในพื้นที่ ด้วยการแบ่งสรรที่นั่ง สส.ระหว่างกลุ่มการเมืองต่างๆ จนเป็นปกติ นักการเมืองกับประชาชนในพื้นที่จึงอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข (ตามสมควร) เรื่อยมา ดังนั้นเมื่อจะมีการ “ตัดคอ” กันแบบ “ใครดี (?) ใครได้” ในระบบหนึ่งเขตหนึ่งคนแบบนี้ ก็แน่นอนว่ามันจะอยู่ “หายใจมองหน้ากัน” ได้อย่างไร อย่างที่สุภาษิตจีนบอกว่า “ลูกผู้ชายฆ่าได้ แต่หยามไม่ได้” หรือสุภาษิตของไทยเองที่ว่า “เสียอะไรเสียได้ แต่อย่าเสียหน้า”
แต่เพื่อให้ชีวิตชาวบ้านคนไทยยังพอไปได้เป็นปกติอีกระยะหนึ่ง ก็ไม่ควรที่จะ “หักด้ามพร้าด้วยเข่า” หรือเปลี่ยนแปลงอะไรที่กะทันหันรุนแรง ผู้เขียนจึงเสนอแนวทางที่รอมชอมให้เข้ากับนิสัยคนไทยและวัฒนธรรมทางการเมืองในพื้นที่ต่างๆ ที่คุ้นเคยกันมา เรียกว่าระบบ “ทูอินวัน” ดังกล่าว โดยให้หนึ่งเขตเลือกตั้งมีผู้แทนราษฎรได้ 2 คน โดยแบ่งการได้มาเป็น 2 ขั้นตอน
เริ่มต้น สมมติว่ากำหนดให้ในสภาผู้แทนราษฎรมี สส.จำนวน 500 คน (ตอนนั้นตัวเลข 500 คนนี้ก็มาแรงมาก น่าจะสะท้อนพฤตินิสัยของ สส.ในยุคที่ผ่านมาให้รำลึกไว้) ก็ให้แบ่งเขตเลือกตั้งทั่วประเทศออกเป็น 250 เขต โดยให้แต่ละพรรคส่งผู้สมัครได้เขตละ 2 คน เมื่อถึงวันลงคะแนน ประชาชนก็ไปหย่อนบัตรเลือกพรรคใดพรรคหนึ่งเพียงพรรคเดียว พอเปิดหีบนับคะแนน ถ้าพรรคใดได้คะแนนเกินครึ่งจากผู้มาใช้สิทธิในเขตเลือกตั้งนั้น ก็ให้ได้ สส.ไปทั้งสองคน แต่ถ้าได้คะแนนไม่ถึงครึ่งก็ต้องให้ที่นั่ง สส.นั้นแก่พรรคที่ได้คะแนนถัดไปด้วยอีกคนหนึ่ง โดยที่พรรคได้คะแนนข้างมากในเขตเลือกตั้งนั้นก็จะได้ไปเพียงคนเดียว
วิธีเลือกตั้งแบบนี้จะแก้ปัญหาของการเมืองไทยได้หลายเรื่อง นอกจากจะเกิดความรอมชอมและปรองดองกันระหว่างกลุ่มการเมืองต่างๆ ในพื้นที่ได้ตามสมควรแล้ว ในระหว่างผู้สมัครแบบ “ไข่คู่” ด้วยกันนี้ ก็ต้องช่วยกันหาเสียงอย่างเต็มที่ ไม่มีใครเอาเปรียบกันและกันได้ (ต่างจากระบบพวงแบบเก่าๆ ที่อาจจะมี “ตัวเด่นตัวดัง” จึงไม่ค่อยขยันหรือช่วยกัน หรือบางคนที่นอนมาก็แยกตัวออกไปเลย รวมทั้งบางคนที่ “ยิงลูกโดด” หรือเอาตัวรอดตามลำพัง) เพราะถ้าได้คะแนนมากจนเกินครึ่งในเขตเลือกตั้งนั้นก็จะ “ยกพวง” เข้าไปเป็น สส.ด้วยกันทั้งคู่
ปัญหาอีกอย่างหนึ่งของการเมืองไทยก็คือ “ความเฉื่อยชาทางการเมือง” จากการที่คนไทยไปเลือกตั้งเป็นเปอร์เซ็นต์ที่ต่ำมาก บางครั้งก็มาใช้สิทธิไม่ถึงครึ่ง หรือถ้าจะให้ไปใช้สิทธิมากๆ ก็ต้องใช้อามิสสินจ้าง ใช้อิทธิพล จนกระทั่งการซื้อสิทธิขายเสียง (อันเป็นเหตุผลของการปฏิรูปการเมืองใน พ.ศ. 2540) ถ้าใช้ระบบนี้ด้วยการแข่งขันกันแบบ “เกินครึ่งได้ทั้งคู่” ก็จะต้องออกไปโน้มน้าวผู้เลือกตั้งอย่างถึงตัว ให้มั่นใจว่าจะมีผู้เลือกตั้งออกมาเลือกคณะของตนเองอย่างแน่นอน ตัวประชาชนเองก็จะรู้สึกว่ามีความสำคัญ ที่ลงคะแนนเพียงเสียงเดียวก็จะได้ สส.ถึง 2 คน แต่กระนั้นคณะคู่แข่งก็ต้องพยายามออกหาเสียงและลงพื้นที่อย่างเต็มที่ เพราะถ้าบุญมาวาสนาส่งอีกคณะหนึ่งได้คะแนนไม่ถึงครึ่ง แต่จากการที่เราทำคะแนนตุนไว้มากๆ ก็อาจจะได้เก้าอี้ สส.อีก 1 ที่นั่งอย่างไม่ยากเย็นเช่นกัน ซึ่งในวันเลือกตั้งเราอาจจะได้เห็นคนมาลงคะแนนอย่าง “มืดฟ้ามัวดิน”
ถ้าเป็นเครื่องยนต์ก็คือ “ไฮบริดติดเทอร์โบ”
ท่านคณะกรรมาธิการยกร่างท่านใด (อย่างน้อยน่าจะมีท่านอาจารย์เจษฏ์ โทณะวณิก ที่เขียนในโพสต์ทูเดย์อยู่เป็นประจำ) อ่านพบบทความนี้เข้าแล้วอยากจะเอาไปใช้ ผู้เขียนก็ไม่สงวนลิขสิทธิ์แต่อย่างใด รวมถึงท่านสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติและสภานิติบัญญัติแห่งชาติ กระทั่งคณะทำงานของ คสช.เอง ถ้าสนใจจะมาขอรายละเอียดก็จะรีบส่งไปให้โดยไม่อิดออด
อาจจะมีการประยุกต์ให้เข้ากับระบบการเลือกตั้งที่คณะกรรมาธิการยกร่างกำลังร่างกันอยู่นี้ ที่ว่าจะให้มี สส.เขต 250 คน กับ สส.บัญชีรายชื่ออีก 200 คน โดยเพิ่มให้ สส.เขตมี 300 คน แล้วลด สส.บัญชีรายชื่อลงเหลือ 150 คน จากนั้นก็แบ่งเขตเลือกตั้งเป็น 150 เขต จะได้มีขนาดใหญ่พอสมควร ไม่ไปทับซ้อนกับ อบต. และเทศบาล แล้วนำระบบทูอินวันนี้ไปใช้ ส่วนแบบบัญชีรายชื่อก็แยกลงคะแนนอีกหนึ่งใบ ท้ายที่สุดประชาชนแต่ละคนก็จะได้ สส.ของตนอย่างน้อย 1 คน คือจากเขตเลือกตั้งที่สามารถ “แทงโต๊ด” คือเลือก 1 ได้ 2 หรือมากที่สุดถึง 3 คน เพิ่มจากระบบบัญชีรายชื่ออีกด้วย กลายเป็น “สส.แบบยกกำลังสาม” หรือ “ไตรวิทยาคม”
คนไทยเป็นคนถือโชคเชื่อลาง โดยเลขสาม “3” จะเป็นตัวเลขแห่งความดีงามและความศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ เช่น พระรัตนตรัยในศาสนาพุทธ คือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ อุดมการณ์ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ของการเมืองการปกครองไทย และตรีเทวานุภาพ พระอิศวร พระอินทร์ และพระนารายณ์ ฯลฯ จะลองนำการเลือกตั้งแบบ “เลือก 1 ได้ 3” นี้มาใช้ดูบ้างจะเป็นไร
ไม่เกิน 3 รอบเลือกตั้งประเทศไทยจะดีขึ้นอย่างแน่นอน


