เสนอสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์เป็นบุคคลสำคัญของโลก
มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา เตรียมเสนอต่อองค์การเพื่อการศึกษาวิทยาศาสตร์
มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา เตรียมเสนอต่อองค์การเพื่อการศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก (UNESCO) ให้ยกย่องสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เป็นบุคคลสำคัญของโลก ในวาระครบ 150 ปี แห่งพิราลัย (อสัญกรรม) ในปี พ.ศ. 2561 เพราะเป็นแบบอย่างบุคคลผู้ทำคุณประโยชน์แก่แผ่นดินในประวัติศาสตร์ไทย สมัยปรับตัวเข้าสู่ยุคใหม่ของสยาม
มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ซึ่งตั้งอยู่ในที่ดินเดิมของท่าน ถนนอิสรภาพ แถลงข่าวในวันที่ 19 ม.ค. 2558 ซึ่งตรงกับวันพิราลัยปีที่ 148 ของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) โดยได้กล่าวถึงการเตรียมงาน และความเป็นมาในการเสนอชื่อ สมเด็จเจ้าพระยาองค์นี้ให้ยูเนสโกยกย่องเป็นบุคคลสำคัญของโลก
ดร.ลินดา เกณฑ์มา ว่าที่อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา บอกว่า มหาวิทยาลัยริเริ่มและดำเนินการเรื่องนี้มา 2-3 ปี เปลี่ยนอธิการบดีมา 2 คน ปัจจุบันตัวท่านเป็นว่าที่อธิการบดี (รอโปรดเกล้าฯ) ได้แต่งตั้งกรรมการดำเนินงานมีทั้งผู้ทรงคุณวุฒิด้านประวัติศาสตร์ สายสกุลบุนนาค และศิษย์เก่าบ้านสมเด็จ เพื่อศึกษาและค้นคว้าผลงานจากเอกสารและติดตามข้อมูลจากแหล่งความรู้ต่างๆ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่สมบูรณ์ ที่จะเสนอต่อองค์การเพื่อการศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ
ศ.กิตติคุณ ดร.ปิยนาถ บุนนาค (ฝ่ายจัดทำเอกสารภาษาไทย) ภาคีสมาชิกราชบัณฑิตยสถาน ประธานคณะกรรมการดำเนินการดำเนินงานเพื่อเสนอชื่อสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เป็นบุคคลสำคัญของโลก กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ยากมากในการถือเอาช่วงเวลา 150 ปี หลังจากพิราลัย และไฮไลต์ในช่วงที่เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในระหว่างปี พ.ศ. 2411-2416 อันเป็นช่วงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ขึ้นครองราชย์ เมื่อพระชนมายุเพียง 15 พรรษา ซึ่งโดยปกติจะเสนอชื่อบุคคลสำคัญของโลกเมื่อครบ 150 ปี แห่งชาตกาล
หลักฐาน เช่น ข้อเขียนหรือบันทึกของท่านโดยตรงไม่มี แต่มีหลักฐานอื่นๆ ที่แสดงว่าสมเด็จเจ้าพระยาท่านนี้ มีความสำคัญต่อสังคมไทยโดยทั่วไป เช่น ท่านนิยมสันติธรรม หลีกเลี่ยงความรุนแรง และมีขันติธรรมสูง และเมื่อศึกษาประวัติจะพบว่าท่านเป็นผู้ส่งเสริมการศึกษาอีกด้วย
ศ.กิตติคุณ ดร.ปิยนาถ บอกว่า ตัวท่านนั้นศึกษาตระกูลบุนนาค มานานตั้งแต่อายุ 22 ปี จึงมีข้อมูลมากพอสมควร จึงกล่าวได้ว่าการที่สมเด็จท่านนี้มีความโดดเด่น มิใช่ตัวท่านเองเท่านั้น แต่เนื่องจากมีพ่อดีด้วย
พ่อของท่าน ได้แก่ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยุรวงศ์ (ดิศ บุนนาค) เมื่อพ่อดี ลูกก็ดีด้วย
ศ.กิตติคุณ ดร.ปิยนาถ เขียนประวัติสังเขป สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค พ.ศ. 2351-2425) ตอนหนึ่งว่า สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ มีนามเดิมว่า ช่วง เป็นบุตรชายคนโตของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยุรวงศ์ (ดิศ บุนนาค) กับท่านผู้หญิงจันทร์ เกิดเมื่อปีมะโรง วันศุกร์ เดือนยี่ ขึ้น 7 ค่ำ พ.ศ. 2351 ตรงกับวันที่ 23 ธ.ค. ปรากฏว่า มีคนสำคัญของประเทศสยามเกิดเป็นสหชาติในปีมะโรงร่วมกันอีก 3 ท่าน คือ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวงศาธิราชสนิท และเจ้าพระยาภูธราภัย (นุช บุณยรัตพันธุ์) ที่สมุหนายก
ช่วง มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 9 คน แต่ในที่สุดเหลือเพียงตัวท่านกับพี่น้องอีก 4 คน คือ เจ้าคุณหญิงแข เจ้าคุณหญิงปุก เจ้าคุณหญิงหรุ่น พระยามนตรีสุริยวงศ์ (ชุ่ม) เท่านั้น ที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่มาด้วยกัน
บิดาของท่าน ขณะเป็นพระยาพระคลัง ได้นำไปถวายตัวเป็นมหาดเล็กในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 2 มหาดเล็กช่วงได้ร่วมทำงานกับบิดาในกิจการด้านพระคลังและกรมท่า ซึ่งทำหน้าที่ติดต่อกับต่างประเทศด้วย ท่านเป็นผู้มีอุปนิสัยชอบศึกษากระบวนการเมืองอยู่แล้ว เมื่อได้เข้าไปอยู่ใกล้ชิดท่านผู้ใหญ่ซึ่งบริหารกิจการบ้านเมือง จึงทำให้ได้ทราบเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับการเมืองมากขึ้น ความเฉลียวฉลาด ปฏิภาณไหวพริบ ก็ยิ่งทวีขึ้นเป็นลำดับ โดยเฉพาะในกระบวนการเมืองและการติดต่อกับต่างประเทศ
ครั้นถึงแผ่นดินรัชกาลที่ 3 มหาดเล็กช่วงได้เป็นนายชัยขรรค์ มหาดเล็กหุ้มแพร เป็นที่โปรดปรานของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เพราะเป็นพระญาติทางราชินิกูลของสมเด็จพระบรมชนกนาถ (พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย) ประการหนึ่ง
อีกประการหนึ่งบิดาของท่านคือ เจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ) และอาของท่านคือพระยาศรีพิพัฒน์ (ทัต) เป็นผู้ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสนิทชิดชอบมาตั้งแต่ครั้งยังทรงเป็นกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ประกอบกับพระองค์เคยทรงรับราชการในกรมท่าร่วมกับเจ้าพระยาพระคลังในแผ่นดินรัชกาลที่ 2 มาแล้ว เพราะฉะนั้นเมื่อพระองค์โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาพระคลังว่าที่สมุหพระกลาโหมด้วยแล้ว ก็โปรดเลื่อนนายชัยขรรค์ มหาดเล็กหุ้มแพร (ช่วง) ขึ้นเป็นหลวงสิทธิ์นายเวรมหาดเล็กซึ่งเรียกกันทั่วไปว่าหลวงนายสิทธิ์
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงให้ความเห็นว่า การเลื่อนบรรดาศักดิ์ของท่านในครั้งนั้น เห็นจะเป็นเมื่อครั้งสึกจากสมณเพศเข้ามารับราชการอีกครั้งหนึ่ง ดังความตอนหนึ่งว่า
ส่วนเกร็ดประวัติศาสตร์ที่คนพูดถึง (คอลัมน์นี้เคยเขียนถึงในประวัติสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) คือในขณะที่เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เป็นช่วงเดียวกับสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) วัดระฆังโฆสิตาราม ก็มีบทบาทสูงทั้งในราชสำนักและการคณะสงฆ์ มีครั้งหนึ่งสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) จุดไต้ในเวลากลางวัน ไปที่จวนผู้สำเร็จราชการ เมื่อผู้สำเร็จราชการทราบ จึงถามว่าเพราะเหตุใด สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) จึงบอกว่าแผ่นดินมืดมัวนัก ได้ยินข่าวว่าจะมีคนคิดร้ายจะเอาแผ่นดิน ไม่ทราบว่าเท็จจริงจะเป็นเช่นไร หากเป็นจริง อาตมภาพก็ใคร่จะขอบิณฑบาตเขาไว้เสียสักครั้ง สมเด็จเจ้าพระยาตอบว่าไม่มีดอก ตัวท่านนั้นแน่วแน่ในพระพุทธศาสนา ทะนุบำรุงแผ่นดิน ตั้งใจประคับประคองสนองพระเดชพระคุณโดยตรงสุจริตอยู่เป็นนิตย์ ขอเจ้าคุณอย่าปริวิตกให้ยิ่งกว่าเหตุ
สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ ท่านเป็นบุคคลที่มีความสามารถสูง เป็นแม่กองคุมสร้างถนนเจริญกรุง บำรุงเมือง และขุดคลองผดุงกรุงเกษม เป็นต้น เป็น 1 ใน 4 ท่านในสมัยรัชกาลที่ 3 ที่รู้ภาษาอังกฤษ แต่สมถะ เช่น ไปคุมต่อเรือแบบฝรั่งที่จันทบุรีก็พำนักในวัด เมื่อออกจากหน้าที่ราชการก็ไปพำนักที่วัดศรีสุริยวงศ์ อ.เมือง จ.ราชบุรี และถึงพิราลัยขณะเดินทางกลับจากราชบุรี เมื่อวันที่ 19 ม.ค. 2425 สิริอายุ 75 ปี
พลาดิศัย สิทธิธัญกิจ ประธานคณะกรรมการดำเนินการดำเนินงานเพื่อเสนอชื่อสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วงบุนนาค) เป็นบุคคลสำคัญของโลก (ฝ่ายประชาสัมพันธ์) ได้แจ้งว่าเพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ถึงผลงานและคุณูปการที่เน้นในเรื่องสันติวัฒนธรรมของสมเด็จเจ้าพระยาฯ นั้น จึงได้วางกิจกรรมพร้อมการเผยแพร่ผลงานไปตามวาระของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นประจำ โดยมีการจัดการเดินตามรอยเพื่อเรียนรู้ถึงผลงานและข้อมูลตามเส้นทางต่างๆ ที่สมเด็จเจ้าพระยาฯ ได้สร้างหรือมีบทบาทให้การดำเนินการในสมัยนั้น เช่น การค้าต่างประเทศที่มีเรือเดินทะเลเข้าแม่น้ำเจ้าพระยามาจอดที่คลองสาน ซึ่งมีการสร้างประภาคารหลังแรก การต่อเรือที่จันทบุรี การสร้างถนนเจริญกรุง บำรุงเมือง เฟื่องนคร และการขุดคลองดำเนินสะดวกไปราชบุรี และวัดศรีสุริยวงศ์ นอกจากนี้ยังมีวัดในถิ่นฐานของบุคคลในตระกูลบุนนาคด้วย ทุกครั้งจะมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ตามสถานที่ต่างๆ ตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่ละเดือน กิจกรรมนี้เปิดกว้างสำหรับผู้สนใจร่วมตามรอยและเป็นการเผยแพร่ข้อมูลและรับรู้ข้อมูลที่เกิดขึ้นในอดีต ผู้ใดสนใจสามารถเป็นสมาชิกกิจกรรมนี้ได้
ในขณะที่ อัญชนินทร์ พุทธิมงคล สำนักความสัมพันธ์ต่างประเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า การเสนอชื่อบุคคลให้ยูเนสโกยกย่องเป็นบุคคลสำคัญของโลก ต้องเสนอบุคคลที่ถึงแก่กรรมแล้ว และต้องเสนอก่อน 2 ปีก่อนถึงวันที่กำหนด เมื่อเสนอหนแรกไม่ผ่าน ทางยูเนสโกให้เวลาแก้ไขปรับปรุงแล้วเสนอใหม่ ถ้าผ่านก็ได้ ถ้าไม่ผ่าน แปลว่าสอบตก
องค์การยูเนสโกยกย่องคนไทยเป็นบุคคลำคัญของโลกมาแล้ว 25 พระองค์/คน


