posttoday

เคราะห์ซ้ำ กรรมซัด

03 มกราคม 2558

ความอดอยากยากจน ทำให้เราไม่เลือกกิน แม้จะเป็นอาหารเซ่นไหว้วิญญาณที่ตามปกติคนทั่วไปไม่กิน

ความอดอยากยากจน ทำให้เราไม่เลือกกิน แม้จะเป็นอาหารเซ่นไหว้วิญญาณที่ตามปกติคนทั่วไปไม่กิน แต่สำหรับคนจนๆ แล้ว กินได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ

ในตำบลที่ผมอาศัยอยู่ มีการจัดประเพณีแจกอาหารฟรี หรือที่รู้จักกันดีว่า “วันเทกระจาด” ในวันสารทจีนของทุกปี ผมเห็นประเพณีนี้มาตั้งแต่เด็ก แต่ละครั้งสร้างสีสันความตื่นตาตื่นใจได้เสมอ ซึ่งสิ่งที่ผมชอบมากที่สุดในวันเทกระจาดคือ ผมมีโอกาสได้กินของดีๆ ที่ผมไม่เคยได้ลิ้มรสมาก่อน

ความยากจนสอนให้ชีวิตวัยเด็กของผมรู้จักคำว่าอดทนและรอคอย ผมต้องเลียริมฝีปากที่แห้งผากด้วยความหิวโหยล่วงหน้านานเป็นเดือนๆ เมื่อนึกถึงวันเทกระจาด เพราะวันนั้นจะมีอาหารมากมายหลายชนิดถูกนำมาที่ศาลเจ้าเพื่อไหว้เทพเจ้าและผี ซึ่งหลังเสร็จพิธีอาหารเหล่านั้นจะถูกทิ้งให้เป็นทานแก่คนยากจนที่ต่างเข้าไปแย่งชิงเพื่อให้ได้ของกินมาประทังชีวิต

เพื่อนๆ ที่ยากจนแบบเดียวกับผม ต่างหมายมั่นปั้นมือจะได้กินอาหารในวันเทกระจาดด้วยกันทั้งนั้น ไม่เฉพาะแต่เด็ก ผู้ใหญ่ก็รอคอยวันนี้เช่นกัน

ดังนั้น พอถึงวันเทกระจาดคนทั้งในหมู่บ้านและนอกหมู่บ้าน ทั้งรวยและจนต่างเดินทางมาที่ศาลเจ้าใหญ่ประจำตำบลด้วยจุดมุ่งหมายที่แตกต่างกัน คนรวยมุ่งหน้ามาเพื่อนำของมาถวายเทพเจ้าและเซ่นไหว้วิญญาณ หวังให้ชีวิตพบแต่สิริมงคลและความเจริญรุ่งเรือง ส่วนคนจนมาเพราะหวังว่าจะได้อาหารคาวหวานที่ถูกทิ้งหลังการเซ่นไหว้ไปกินให้อิ่มท้อง

เคราะห์ซ้ำ กรรมซัด

 

คนรวยเข้าไปทำพิธีในศาล ส่วนคนจนยืนรอจนกว่าคนรวยจะทำพิธีเสร็จ เป็นช่วงเวลาแห่งการรอคอยสำหรับคนยากไร้ ที่ต่างก็ยื้อแย่งกันเพื่อเข้าไปให้ใกล้อาหารที่ตนเองหมายตามากที่สุด

ราวๆ บ่ายโมงการเซ่นไหว้วิญญาณต่างๆ จึงแล้วเสร็จ อาหารทั้งคาวหวานจำนวนมากมายจะกลายเป็นอาหารถูกทิ้ง ไม่มีเจ้าของในทันที แต่สำหรับคนจนที่ไม่มีอะไรจะกิน อาหารเหล่านี้คืออาหารมื้อที่ดีที่สุดในชีวิตของพวกเขาเลยทีเดียว

ทันทีที่พิธีเซ่นไหว้ต่างๆ เสร็จลง ผู้คนที่หิวโหยต่างวิ่งกรูกันเข้าไปหยิบฉวยอาหารที่ถูกวางทิ้งไว้อย่างชุลมุน โดยไม่สนใจว่าจะได้รับบาดเจ็บหรือปะทะกับใคร เพราะเป้าหมายอยู่ที่อาหารเท่านั้น

สำหรับผมแม้จะเล็งๆ อาหารชั้นยอดที่คนนำมาไหว้ที่ศาลเจ้าจนตาแทบเหล่ แต่เมื่อถึงเวลาที่ทุกคนกรูกันเข้าไปแย่งอาหาร ผมมักเข้าไม่ถึงและไปไม่ทันพวกผู้ใหญ่ที่ร่างกายแข็งแรงและมีประสบการณ์มากกว่า พวกเขามักเบียดจนเข้าถึงอาหารอร่อยๆ ก่อนผมเสมอ

ลำพังตัวผมกว่าจะเข้าไปได้ อาหารก็ถูกหยิบไปเกือบหมด เหลือเพียงของที่ไม่มีใครเขาอยากกิน ผมได้แต่มองตามอาหารดีๆ ที่พวกผู้ใหญ่หยิบฉวยใส่ภาชนะที่เตรียมมาด้วยสายตาละห้อย นั่นหมายความว่า ความหวังที่ผมรอคอยมาตั้งปีหลุดลอยไป หวังว่าจะได้กินหมูเห็ดเป็ดไก่ชั้นยอด แต่แล้วอาหารเหล่านั้นก็ผ่านหน้าผมไปอยู่ในปิ่นโตหรือซึ้งใส่อาหารของคนที่แข็งแรงกว่าและพวกเขาสามารถแย่งเอาไปได้

แต่เอาเถอะ ถึงอย่างไรผมก็ยังชอบงานวันเทกระจาดอยู่ดี เพราะผมได้กินของอร่อยกว่าที่เคยกิน และได้กินอิ่มกว่าทุกๆ วัน

ความจริงแล้วครอบครัวเราไม่ได้ฝากชีวิตและความหวังเอาไว้กับการทำนาที่มีอยู่แค่ 2 ไร่เศษแต่เพียงอย่างเดียว สำหรับครอบครัวนับสิบคน พวกเราดิ้นรนทำมาหากินอย่างอื่นด้วย นั่นคือทำเต้าหู้ออกไปขายที่ตลาด ตอนนั้นผมอายุ 8 ขวบ ยังตัวเล็กมาก แต่ก็จำได้ว่าช่วยงานพ่อแม่และพี่ชายอย่างเต็มที่

กิจวัตรประจำวันของเรา คือ ต้องตื่นตั้งแต่ตีสอง ตีสาม ลุกขึ้นมาฟ้ายังมืดตึ๊ดตื๋อ ไก่ยังไม่ทันตื่นมาขันด้วยซ้ำไป ตื่นมาแล้วก็รีบโม่แป้งทำเต้าหู้ โม่นั้นเป็นโม่หินขนาดใหญ่สมัยเก่ามีหินทรงกระบอกซ้อนกันอยู่ 2 ชิ้น หินตัวบนมีช่องให้ใส่ถั่ว ใส่น้ำลงไป ส่วนตัวล่างเป็นฐานมีขนาดใหญ่กว่าตัวบนและมีรางอยู่รอบด้าน เพื่อรองรับน้ำแป้งถั่วเหลืองที่ถูกบดละเอียดแล้วให้ไหลลงไปในกะละมัง

ผมเห็นพี่ชายกับพี่สะใภ้ช่วยพ่อแม่ทำเต้าหู้อยู่เป็นประจำ ส่วนผมก็ช่วยทุกอย่างเท่าที่จะช่วยได้ คอยหยิบโน่น ฉวยนี่ส่งให้ตามที่ผู้ใหญ่ต้องการ

กว่าจะทำเต้าหู้สีขาวเป็นก้อนๆ เสร็จ ฟ้าก็ใกล้สาง ซึ่งปริมาณแต่ละวันไม่มากนัก แค่ 2-3 กิโลกรัมหรือประมาณ 100 ก้อนเล็กๆ จากนั้นผมก็มีหน้าที่หาบเต้าหู้ส่วนหนึ่งเดินตามพี่ชายไปขายในตลาดที่อยู่ห่างจากบ้านหลายกิโลเมตร ประมาณตีห้าครึ่งก็ไปถึง ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ผู้คนออกมาเดินจ่ายกับข้าวพอดี

ตลาดยามเช้านั้นคึกคัก ผู้คนเดินซื้อของกันขวักไขว่ ทำเลที่ตั้งขายเต้าหู้ของเราอยู่ริมถนนหน้าร้านค้าตรงสามแยก ผมเป็นเด็กชอบขายของอยู่แล้ว จึงร้องตะโกนเรียกลูกค้าเป็นระยะๆ ถ้าช่วงไหนเห็นคนมากขึ้น ผมก็จะตะโกนร้องเรียกคนให้ซื้อเต้าหู้

“เต้าหู้ครับ เต้าหู้ทำใหม่ๆ สดๆ”

เสียงร้องของผมกระตุ้นความสนใจได้ดี ผมสังเกตเห็นว่าบางคนหิ้วตะกร้าเดินผ่านไปแล้ว แต่พอได้ยินเสียงร้องขายก็ชะงักแล้วหันกลับมาซื้อ บางคนยิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าหนูไม่ร้องขายเต้าหู้คงลืมไปแล้ว”

การขายเต้าหู้ในตลาดช่วยให้ผมได้เรียนรู้ และรู้จักวิธีการขายของตั้งแต่เด็ก นับเป็นประสบการณ์ที่ดีอย่างยิ่ง ทำให้ผมได้สังเกตนิสัยของคนซื้อ ได้เรียนรู้ว่าลูกค้ามีหลายประเภท

ทุกวันที่ผมไปขายเต้าหู้ กว่าจะขายหมดก็ราว 10 โมงเช้าแต่หากวันไหนขายดีแค่ 9 โมงเช้าก็หมดแล้ว ผมก็ได้กลับบ้านเร็ว

รายได้จากการขายเต้าหู้วันหนึ่งๆ แม้ไม่มากมาย ไม่ได้ทำให้ครอบครัวเราร่ำรวยก็จริง แต่ก็ช่วยจุนเจือให้เราพอมีเงินซื้อข้าวปลาอาหารเลี้ยงชีพในแต่ละวัน

ผมรับรู้ถึงความอดอยากหิวโหยได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะในช่วงภัยแล้งหฤโหด เริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. 1935 ตอนนั้นผมอายุราว 10 ขวบ คุณพ่อมักเล่าให้ผมฟังเสมอว่า ภัยแล้งครั้งนี้หนักหนากว่าครั้งปี ค.ศ. 1890 ตอนนั้นแม้จะแห้งแล้ง แต่ในลำธารยังมีน้ำมากกว่าตอนนี้มาก ชาวบ้านในหมู่บ้านต้นน้ำช่วยกันกั้นและเปลี่ยนทางน้ำให้ไหลเข้าไปในหมู่บ้านตัวเอง ทำให้คนในหมู่บ้านปลายน้ำอย่างพวกเราไม่พอใจ จึงเกิดการแย่งชิงน้ำจนถึงขั้นใช้กำลังต่อสู้กันเป็นประจำ กว่าภัยแล้งจะจบ มีคนเสียชีวิตจากการแย่งชิงน้ำหลายสิบคน

ความสัมพันธ์ระหว่างหมู่บ้านเลวร้ายลงมาก ญาติของคนตายก็โกรธหาทางแก้แค้น ห้ามคนในตระกูลไปคบหาสมาคม ห้ามไม่ให้แต่งงานกับคนในหมู่บ้านนั้นเด็ดขาด และหามาตรการอะไรต่อมิอะไรมาบังคับใช้ พ่อและปู่ก็ไปร่วมสู้กับเขาเช่นกัน นับว่าโชคดีที่พ่อไม่เป็นอะไร แต่ปู่โดนยิงลูกกระสุนถูกเข้าที่แขนซ้าย ดีว่าหัวกระสุนไม่ทะลุ ตุงอยู่ใต้ผิวหนังราว 1 สัปดาห์หัวกระสุนก็หลุดออกมา แขนซ้ายยังใช้ได้ตามปกติ

ภัยแล้งครั้งนี้ร้ายแรงมาก แห้งแล้งไปทั่ว น้ำในลำธารแห้งขอด ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำตลอดทั้งสาย จึงไม่ต้องต่อสู้แย่งชิงน้ำเหมือนในอดีต

ตอนนี้ต่างตัวใครตัวมันเอาตัวให้รอดก็แล้วกัน

อ่านต่อฉบับหน้า

ข่าวล่าสุด

ขนส่ง เตือน! รถติดถุงลมนิรภัยทาคาตะ เสี่ยงอันตรายถึงชีวิต เช็ก-เปลี่ยนฟรี