บวชภิกษุณีคิดให้ดี
ช่วงปฏิรูปประเทศในขณะนี้ มีเรื่องหนึ่งที่ได้รับการพูดถึงกว้างขวางพอสมควรในสังคมไทยก็คือ เรื่องการให้ผู้หญิงบวชเป็นพระ
ช่วงปฏิรูปประเทศในขณะนี้ มีเรื่องหนึ่งที่ได้รับการพูดถึงกว้างขวางพอสมควรในสังคมไทยก็คือ เรื่องการให้ผู้หญิงบวชเป็นพระ หรือที่เรียกว่า ภิกษุณี ได้ โดยมีทั้งกลุ่มบุคคลกลุ่มหนึ่งไปยื่นหนังสือต่อคณะกรรมาธิการปฏิรูปค่านิยม ศิลปะ วัฒนธรรม จริยธรรมและการศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติ ว่าการออกมติของมหาเถรสมาคมที่ต้องให้พระสงฆ์จากต่างประเทศจัดการบรรพชาและอุปสมบทในประเทศไทยต้องแจ้งให้มหาเถรสมาคมทราบและได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรก่อน รวมถึงการให้ภิกษุทั่วประเทศปฏิบัติตามประกาศของกรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ เรื่องห้ามพระเณรไม่ให้บวชหญิงเป็นบรรพชิต พ.ศ. 2471 โดยกลุ่มผู้ร้องมองว่าจะเป็นการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของผู้หญิงไทยในการบวชเป็นนักบวชในพุทธศาสนา และขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) 2557 มาตรา 4
ความจริงของเรื่องนี้ก็คือ มหาเถรสมาคมได้ออกมติห้ามพระทั่วประเทศในปกครองของมหาเถรสมาคมบวชให้กับผู้หญิงที่ต้องการบวชเป็นภิกษุณี ซึ่งเป็นไปตามประกาศของกรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ เรื่องห้ามพระเณรไม่ให้บวชหญิงเป็นบรรพชิต พ.ศ. 2471 ทั้งนี้เพราะการบวชภิกษุณีนั้นต้องอาศัยสงฆ์สองฝ่ายทั้งฝ่ายภิกษุสงฆ์และภิกษุณีสงฆ์จึงจะสำเร็จและถูกต้องตามพระวินัย ทำให้การที่ใครจะบวชภิกษุณีในประเทศไทยต้องแจ้งมหาเถรสมาคมทราบ และจากมติดังกล่าวก็ไม่มีพระสงฆ์ไทยรูปไหนทำการบวชให้ แต่ภิกษุณีที่เราเห็นในปัจจุบันส่วนใหญ่ไปบวชที่ต่างประเทศทั้งนั้นโดยเฉพาะที่ศรีลังกา
ทั้งนี้ จากมติของมหาเถรสมาคมนี้แหละก็มีบางคนมองว่าเป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพของผู้หญิงในการบวชพระบ้างล่ะ ขัดบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญบ้างล่ะ ขัดต่อพุทธบัญญัติที่อนุญาตให้มีการบวชภิกษุณีบ้างล่ะ แถมโยนเผือกร้อนๆ ทิ้งท้ายว่าถ้าพระเคร่งขนาดนี้อยากให้มหาเถรสมาคมออกประกาศหรือคำสั่งให้พระภิกษุที่มีเงินหรือทรัพย์สินส่วนตนแสดงบัญชีทรัพย์สินออกมาด้วย
ผมเคารพในมุมมองของคนเหล่านี้ที่ออกมายื่นหนังสือหรือแสดงความเห็นต่างๆ แต่เรื่องนี้ต้องใช้โยนิโสมนสิการคิดให้ดีครับ ส่วนตัวผมไม่ขอเถียงในเรื่องสิทธิเสรีภาพนะ (เพราะอะไรๆ ก็อ้างเสรีภาพ 555) ไม่เถียงว่า ผู้หญิงก็สามารถบวชได้ เพราะครั้งพุทธกาลพระพุทธเจ้าก็ทรงอนุญาตให้ผู้หญิงบวชและได้บรรลุธรรมชั้นสูงสุดมากต่อมาก
ทว่า ผมอยากจะเล่าให้ฟังว่า การบวชภิกษุณีในสมัยพระพุทธเจ้า สิ่งหนึ่งที่ชาวพุทธควรจะสำเหนียกก็คือว่ากว่าที่พระพุทธเจ้าจะทรงอนุญาตให้พระนางมหาปชาบดีโคตมีภิกษุณีรูปแรกในพระพุทธศาสนาบวชเป็นภิกษุณีนั้นไม่ง่ายเลย พระนางต้องไปอ้อนวอนถึงสามครั้งสามหน แถมพระอานนท์ช่วยทูลขออีกแรงกระนั้นก็ยังไม่อนุญาต
ตอนหนึ่งพระอานนท์ทูลถามว่า ถ้าผู้หญิงบวชแล้วบำเพ็ญเพียรจะสามารถบรรลุมรรคผลได้หรือไม่ พระองค์ตรัสว่าได้ พระอานนท์ทูลต่อไปว่า ถ้าได้ พระนางมหาปชาบดีโคตมีซึ่งเป็นพระน้านางของพระองค์และทรงเคยเลี้ยงพระองค์มา ก็ควรที่จะได้บวชในพระพุทธศาสนา ซึ่งเมื่อพระอานนท์พูดอย่างนี้ พระพุทธองค์จึงทรงตั้งเงื่อนไข 8 ข้อ หรือที่เรียกว่า ครุธรรม 8 ประการ ถ้าสตรีปฏิบัติตามเงื่อนไขนี้ก็จะทรงอนุญาตให้บวชเป็นภิกษุณี
เช่น 1.ภิกษุณีแม้บวชแล้วตั้ง 100 ปี ก็ต้องทำการอภิวาท การลุกขึ้นต้อนรับ ทำอัญชลีและสามีจิกรรมต่อภิกษุแม้ผู้บวชแล้วในวันนั้น 2.ภิกษุณีต้องไม่จำพรรษาในอาวาสที่ไม่มีภิกษุ 3.ภิกษุณีต้องถามวันอุโบสถและเข้าไปรับโอวาทจากภิกษุทุกกึ่งเดือนเป็นต้น ถ้าสตรีปฏิบัติตามเงื่อนไขนี่ก็จะทรงอนุญาตให้บวชได้
จะเห็นว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้ปฏิเสธศักยภาพในการบรรลุธรรมของผู้หญิง แต่ข้อเท็จจริงอันหนึ่งคือสตรีเพศส่วนมากร่างกายและจิตใจมักอ่อนไหวง่าย อ่อนแอกว่าผู้ชาย แม้จะมีผู้หญิงจิตใจแกร่งก็น้อย การที่จะเปิดทางให้ผู้หญิงบวชตามใจนั้นจะเสียผลแก่ส่วนรวมหลายทาง เช่น ผู้บวชอาจทนความลำบากไม่ได้ คนที่อ่อนแออาจทำตามใจตัวเอง หนักเข้าอาจมาลดหย่อนสิกขาบทหาความสบายใส่ตน อาจถูกผู้ชายลวนลามได้ง่าย หรือเมื่อบวชแล้วก็ต้องให้พระคุ้มครองให้ อาจมีความใกล้ชิดกันและเกิดความมัวหมองทั้งสองฝ่ายได้
จากหลักดังกล่าวมานี้ พระพุทธองค์จึงทรงรอให้ผู้หญิงใจเพชรแสดงตัวขึ้นมาเองเสียก่อน ซึ่งการแสดงตัวขึ้นมานั้นมิใช่แสดงให้พระองค์ทราบเท่านั้นแต่ให้ชาวโลกรู้ด้วย เฉพาะอย่างยิ่งให้ผู้หญิงทั้งหลายสำนึกตัวว่า การบวชยากเพียงใด จะได้คัดกรองเอาแต่คนที่จิตใจเข้มแข็ง และเราก็ได้เห็นความมีจิตใจแกร่งของพระนางมหาปชาบดี
เขียนมานี้ไม่ได้บอกว่าผู้หญิงบวชไม่ได้นะครับ แต่อยากคิดให้ดี มองถึงอนาคตด้วย ขนาดแค่วงการของพระสงฆ์ (พระผู้ชาย) ก็มีเรื่องเสื่อมเสียไม่หยุดหย่อน


