เงินสงเคราะห์ (CESS) ช่วยพัฒนายางพาราไทยได้อย่างไร
ผู้ที่อยู่ในวงการยางพาราคงคุ้นเคยกับคำว่าเงินสงเคราะห์ (CESS) คือเงินที่สำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง (สกย.) เรียกเก็บจากผู้ส่งออกยางพารา เพื่อนำเงินมาพัฒนาการผลิตยางพาราภายในประเทศ ซึ่งโดยความหมายแล้ว CESS มีความหมายเช่นเดียวกับ TAX แต่ความแตกต่างระหว่าง CESS และ TAX คือวัตถุประสงค์ของการนำเงินไปใช้ โดยเงินที่ถูกเรียกเก็บในรูปของ TAX จะถูกรวบรวมอยู่ในเงินกองกลางของประเทศ เพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาประเทศ ขณะที่เงินที่ถูกเรียกเก็บในรูปของ CESS จะถูกนำไปใช้เพื่อการพัฒนายางพาราของประเทศ
ผู้ที่อยู่ในวงการยางพาราคงคุ้นเคยกับคำว่าเงินสงเคราะห์ (CESS) คือเงินที่สำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง (สกย.) เรียกเก็บจากผู้ส่งออกยางพารา เพื่อนำเงินมาพัฒนาการผลิตยางพาราภายในประเทศ ซึ่งโดยความหมายแล้ว CESS มีความหมายเช่นเดียวกับ TAX แต่ความแตกต่างระหว่าง CESS และ TAX คือวัตถุประสงค์ของการนำเงินไปใช้ โดยเงินที่ถูกเรียกเก็บในรูปของ TAX จะถูกรวบรวมอยู่ในเงินกองกลางของประเทศ เพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาประเทศ ขณะที่เงินที่ถูกเรียกเก็บในรูปของ CESS จะถูกนำไปใช้เพื่อการพัฒนายางพาราของประเทศ
ในบรรดาผู้ผลิตยางพาราสำคัญของโลก มีเพียงประเทศไทยและมาเลเซียเท่านั้นที่มีการเรียกเก็บเงิน CESS เพื่อนำไปใช้ 2 ประการ คือ การปลูกยางใหม่ทดแทนยางเก่า และการวิจัยและพัฒนายางพารา (Research and Development-R&D) แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าสัดส่วนการนำไปใช้ประโยชน์ของไทยและมาเลเซียมีความแตกต่างกัน โดยเฉพาะในส่วนของการวิจัยและพัฒนายางพารา ซึ่งมาเลเซียมีสัดส่วนการใช้เพื่อการวิจัยและพัฒนาร้อยละ 29 ในขณะที่ไทยใช้เพียงร้อยละ 5 เท่านั้น (ตารางที่ 1) ส่งผลให้มาเลเซียกลายเป็นผู้นำในการผลิตผลิตภัณฑ์ยาง โดยเฉพาะถุงมือยาง ถุงยางอนามัย และสายสวนปัสสาวะ และเปลี่ยนสถานะจากประเทศผู้ผลิตยางพาราเป็นประเทศผู้ใช้ยางพาราในปัจจุบัน
ขณะที่ไทยยังคงเน้นการเพิ่มผลผลิตยางพาราในไทย ไม่ว่าจะเป็นการให้เงินอุดหนุนเพื่อปลูกต้นยางใหม่แทนต้นยางเก่าที่เสื่อมสภาพ รวมถึงการขยายพื้นที่ปลูกยาง การพัฒนาสายพันธุ์ต้นยางคุณภาพดี วิธีการดูแลรักษา และวิธีกรีดยางเพื่อให้ได้น้ำยางในปริมาณสูง จนทำให้ไทยกลายเป็นประเทศที่มีผลผลิตยางพาราเป็นอันดับ 1 ของโลกมาอย่างยาวนาน ทำให้ไทยต้องแบกรับความเสี่ยงด้านราคายางพาราที่ผันผวน ซึ่งส่งผลต่อความไม่แน่นอนของรายได้เกษตรกรและผู้ประกอบการ
นอกจากนี้ การเก็บเงิน CESS ยังเป็นปัจจัยหน่ึ่งที่หลายคนมองว่าทำให้ราคายางส่งออกของไทยสูงกว่าต่างประเทศ เนื่องจากอัตราการเก็บเงิน CESS ของไทยสูงกว่าต่างประเทศ ทำให้ผู้ประกอบการไทยมีต้นทุนการส่งออกสูงกว่าต่างประเทศ ซึ่งจะส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของไทย ทำให้ราคายางในประเทศและรายได้เกษตรกรลดลง
ในสถานการณ์ยางพาราโลกปัจจุบันที่มีผลผลิต ยางพาราล้นตลาด เป็นผลทำให้ราคายางลดลงต่อเนื่อง ดังนั้นแนวทางการขยายผลผลิตยางพาราอาจไม่ใช่หนทางที่เหมาะสมอีกต่อไป แต่ควรปรับตัวโดยการพัฒนาอุตสาหกรรมยางแปรรูปขั้นสุดท้ายเพิ่มขึ้น เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ยางพาราเพิ่มรายได้ให้กับประเทศ และลดความเสี่ยงจากราคายางที่ผันผวน
แนวทางการดำเนินนโยบายหนึ่งที่ สกย.สามารถส่งเสริมการเพิ่มมูลค่ายางจากการแปรรูปยางขั้นสุดท้าย โดยการเพิ่มสัดส่วนการใช้ประโยชน์จากเงิน CESS ในด้านการวิจัยและพัฒนามากขึ้น เพื่อเพิ่มเงินทุนในการศึกษาค้นคว้าเทคโนโลยีในการแปรรูปยางพารา นอกจากนี้การกระจายเงินทุนด้านการวิจัยให้กับสถาบันที่หลากหลาย นอกเหนือจากกรมวิชาการเกษตร ซึ่งเป็นหน่วยงานเดิมที่ได้รับเงินทุนการวิจัยยางจากเงิน CESS อยู่แล้ว โดยการกระจายเงินทุนให้กับสถาบันอื่นๆ จะเป็นการส่งเสริมให้เกิดองค์ความรู้ที่แตกต่างและหลากหลายมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการกระจายเงินทุนให้กับสถาบันการศึกษา เพราะนอกจากจะมีนวัตกรรมการแปรรูปยางใหม่ๆ แล้ว ยังเป็นการเปิดโอกาสให้นักเรียนและนักศึกษาได้แสดงความรู้ความสามารถ พร้อมทั้งสนับสนุนเรื่องการเรียนรู้ให้กับเยาวชนอีกด้วย
ถึงแม้ไทยจะเป็นผู้ผลิตยางพาราอันดับ 1 ของโลก แต่หากไม่มีการพัฒนาหรือต่อยอดองค์ความรู้ ในการแปรรูปยางพารา ในขณะที่ประเทศอื่นต่างพยายามกันแข่งขันคิดค้นเทคโนโลยีในการแปรรูปยางมากขึ้น ทำให้เราอาจเป็นได้แค่ผู้ผลิตยางพารารายใหญ่ที่สุดของโลก และเป็นเพียงผู้ผลิตวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์แปรรูปยางที่ต่างประเทศคิดค้นขึ้นมา อีกทั้งต้องคอยรับมือกับความเสี่ยงด้านราคายาง
ดังนั้น เราควรพัฒนาอุตสาหกรรมยางอย่างจริงจัง โดยการเพิ่มการวิจัยและพัฒนา ซึ่งสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับยางแปรรูปไทย ทั้งนี้นโยบายการบริหารเงินสงเคราะห์ หรือ CESS จะเป็นตัวแปรสำคัญหนึ่งที่สามารถวางแนวทางการพัฒนายางพาราไทยได้อย่างยั่งยืนต่อไป


