posttoday

กระตุ้นพัฒนาการเด็ก อย่างถูกวิธี

07 ธันวาคม 2557

สิ่งที่ผู้ปกครองทุกคนที่มีลูกน้อยวัยทารกเป็นห่วงมากที่สุดอย่างหนึ่งก็คือเรื่องของพัฒนาการเด็ก

สิ่งที่ผู้ปกครองทุกคนที่มีลูกน้อยวัยทารกเป็นห่วงมากที่สุดอย่างหนึ่งก็คือเรื่องของพัฒนาการเด็ก ที่ล้วนแต่ต้องการให้ลูกมีพัฒนาการที่ดี แต่กระนั้นก็มีเด็กน้อยหลายคนมีพัฒนาการไม่เป็นอย่างที่พ่อแม่คาดหวัง

พ.ญ.เสาวภา พรจินดารักษ์  กุมารแพทย์พัฒนาการและพฤติกรรมโรงพยาบาลบีเอ็นเอช ให้คำแนะนำถึงคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ ในงานฮักกี้ส์ สลิม ชาเลนจ์ (Huggies Slim Challenge) ซึ่งจัดขึ้นโดย บริษัท คิมเบอร์ลี่ย์-คล๊าค และบริษัท เพลย์ แอนด์ มิวสิก ว่าการกระตุ้นพัฒนาการด้านการเคลื่อนไหวของลูก พ่อแม่ต้องให้เด็กเรียนรู้แบบแอ็กทีฟ คือ เรียนรู้เองตามธรรมชาติ โดยมีพ่อแม่คอยดูแลเรื่องความปลอดภัย อำนวยความสะดวกเพื่อการเคลื่อนไหวของลูก เสื้อผ้าต้องไม่หลวมหรือคับขยับยากเพื่อความสบายในการเคลื่อนไหว

 “อยากให้พ่อแม่ทำความเข้าใจความหมายของการฝึกกับการกระตุ้นพัฒนาการของลูกว่ามันต่างกัน  ถ้าเป็นการฝึก โอกาสที่จะเกิดความตึงเครียดในระหว่างทำกิจกรรมต่างๆ กับลูกจะมีมาก ความตั้งใจที่จริงจังของพ่อแม่ ลูกวัยนี้สัมผัสได้ ความเป็นตัวของตัวเองของช่วงวัยนี้จะปฏิเสธวิธีที่เราพยายามฝึก หากเรายังพยายามฝึกอย่างจริงจังต่อไป ก็จะตามมาด้วยพฤติกรรมต่อต้าน ลูกจะไม่รู้สึกสนุก จึงหดขาทุกครั้งที่พายืน แต่ถ้าเป็นการกระตุ้นพ่อแม่สามารถใช้พัฒนาการด้านอารมณ์และสังคมที่มีความสนุกร่วมมาเป็นตัวกระตุ้นให้ลูกได้เรียนรู้พัฒนาการด้านการเคลื่อนไหวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทำให้ลูกสนุกกับการเคลื่อนไหวแทน อย่างนี้จะได้ผลกว่าและแถมได้สุขภาพจิตที่ดีด้วย”       

คุณหมออธิบายต่อว่า พัฒนาการของเด็กด้านการเคลื่อนไหวจะเริ่มจากนั่ง  คลาน  ยืน  เดิน โดยแต่ละขั้นตอนนั้น ร่างกายเด็กได้ฝึกสหสัมพันธ์ นั่นคือมือและเท้าต้องเคลื่อนไหวสลับสอดคล้องกันซ้ายและขวา ลูกจำเป็นต้องเรียนรู้การสร้างสมดุล (Set Balance) ของอวัยวะในร่างกายที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวด้วยตัวเอง คุณพ่อคุณแม่ลองตรวจสอบดูว่าเรากำลังกระตุ้นพัฒนาการด้านการเคลื่อนไหวให้ลูกแบบ Active Learning หรือ Passive Learning

เช่น การนั่งของเด็กในช่วงวัย  5-8 เดือน เป็นการเรียนรู้แบบแอ็กทีฟ ลูกพยายามนั่งเอง โอนเอนบ้าง ล้มหน้า หงายหลัง ปล่อยให้เด็กเรียนรู้การจัดสมดุลร่างกาย ดึงตัวเองกลับมาที่ศูนย์กลางเอง พ่อแม่ต้องดูแลความปลอดภัยโดยใช้มือโอบห่างๆ คอยรับ ไม่ให้การล้มหน้าหงายหลังก่ออันตรายกับลูก

แต่ถ้าเป็นการเรียนรู้แบบพาสซีฟ พ่อแม่ประคองตัวลูกตลอดเวลา เพื่อไม่ให้โอนเอน  หรืออาจใช้อุปกรณ์ช่วยนั่งทำให้ลูกอยู่ในท่านั่งที่ไม่เสี่ยงต่อการเอนล้ม

 ฟังจากที่คุณหมอกล่าวมาทั้งหมด สรุปได้ว่าคุณพ่อคุณแม่ควรฝึกพัฒนาการด้วยการกระตุ้นให้เด็กเรียนรู้ด้วยตัวเอง โดยมีคุณพ่อคุณแม่คอยดูแลความปลอดภัยอยู่ใกล้ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องมีความสนุกสนานต้องแทรกตัวอยู่ในทุกกิจกรรมที่พ่อแม่เล่นกับลูก อ้อมกอด รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และถ้อยคำให้กำลังใจลูกเป็นพลังซ่อนเร้นที่จะช่วยให้ลูกมีพัฒนาการด้านต่างๆ เป็นไปตามวัยในที่สุด

ข่าวล่าสุด

“พลเอกณัฐพล”วาง 5 เงื่อนไขถกGBCกัมพูชา ยันไทยป้องกันตัวเอง