เศรษฐียอดคุณพ่อ
เอ่ยชื่อ “สุทัตตเศรษฐี” อาจไม่คุ้นหูชาวพุทธทั่วไปเท่าไหร่นัก แต่พอบอกว่า “อนาถบิณฑิกเศรษฐี”
เอ่ยชื่อ “สุทัตตเศรษฐี” อาจไม่คุ้นหูชาวพุทธทั่วไปเท่าไหร่นัก แต่พอบอกว่า “อนาถบิณฑิกเศรษฐี” หลายคนต้องร้องอ๋อ อ้อ...ได้ยินบ่อยเวลาพระเทศน์เรื่องเศรษฐีใจบุญสุนทานก็จะยกเศรษฐีคนนี้ขึ้นมาเล่าจะเห็นภาพชัดเจน
แต่สิ่งที่อยากเล่าในวันนี้เป็นเรื่องของวิธีการในการสอนลูกของเศรษฐี ก็เป็นมุมมองที่น่าสนใจ
ทั้งนี้ ลูกของอนาถบิณฑิกเศรษฐีจะมีอยู่ 4 คน หญิง 3 คน คือ มหาสุภัททา จูฬสุภัททา และสุมนาเทวี และลูกชายคนเล็กอีกหนึ่งคน คือ นายกาละ
ลูกสาวทั้งสามคนเป็นคนที่ว่านอนสอนง่าย ไม่ได้ทำให้เศรษฐีต้องหนักอกหนักใจ โดยเศรษฐีจะตั้งลูกสาวคนโตคือ มหาสุภัททา ช่วยในการจัดแจงทานในเวลาที่เขาจะถวายทาน ซึ่งทำหน้าที่ด้วยดีเรียบร้อยทุกอย่าง
พอมหาสุภัททาแต่งงานออกเรือนก็ตั้งคนรอง คือ จูฬสุภัททา แล้วพอเธอแต่งงานออกเรือนตามพี่สาวไปอีกคนก็มอบภารกิจดังกล่าวให้ลูกสาวคนเล็กคือสุมนาเทวีทำหน้าที่แทน
เรียกว่า ลูกสาวทั้งสามคนนั้นไม่เคยทำให้พ่อต้องทุกข์ใจเสียน้ำตา จะมีก็แต่ลูกคนเล็กคือ สุมนาเทวี ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดไปเองของเศรษฐีผู้พ่อก็คือสุมนาเทวีป่วยหนักและได้เรียกเศรษฐีผู้พ่อว่า “น้องชาย” จากนั้นก็สิ้นใจตาย
เศรษฐีแม้จะเป็นโสดาบันพอได้ยินลูกสาวเรียกตัวเองเช่นนั้น ก็คิดว่าลูกป่วยหนักจนพูดจาไม่รู้เรื่องเกิดโศกเศร้าทุกข์ใจรู้สึกสงสารลูก จึงเข้าไปเฝ้ากราบทูลพระพุทธเจ้าที่มหาวิหารเชตวันว่า ลูกสาวก่อนตายไม่มีสติเลย บ่นเพ้ออะไรไม่รู้ เรียกข้าพระองค์ว่าน้องชายแล้วสิ้นใจตาย
ทว่าพอได้ยินคำตอบจากพระพุทธเจ้าว่า สุมนาเทวีนั้นมีสติสมบูรณ์ทุกประการ แต่ที่เรียกพ่อว่าน้องชายนั้น ก็เพราะในการบรรลุธรรมเศรษฐีเป็นแค่โสดาบัน แต่สุมนาเทวีเป็นสกิทาคามีซึ่งสูงกว่าโสดาบันนั่นเอง
ฉะนั้น ทั้งสามสาวจึงเป็นอนุชาตบุตรคือเป็นลูกที่ประพฤติดีตามคุณพ่อ แต่พอไปดูลูกชายคนเดียวของตระกูลคือกาละแล้วกลับเป็นคนที่เอาแต่ใจตัว อยากทำอะไรทำ ไม่ค่อยแคร์ความรู้สึกของพ่อหรือของใครในบ้าน
ประพฤติตนเป็นหนุ่มเจ้าสำราญ ใช้ชีวิตสนุกเฮฮาปาร์ตี้ไปวันๆ งานบุญที่พ่อพาทำ ไม่เคยเข้ามาช่วย พ่อจะทำอะไรก็เรื่องของพ่อ ขนาดวัดอยู่ตรงข้ามบ้านก็ยังไม่เคยเข้า นึกภาพแล้วต้องบอกว่าเหลือเกินลูกคนนี้
แต่หัวอกคนเป็นพ่ออย่างเศรษฐีมีหรือที่จะปล่อยให้ลูกของตัวเองต้องมีชีวิตแบบนั้นไปถาวร เพราะถ้าประพฤติอย่างนั้นไปตลอดชีวิตก็อย่าได้หวังสุคติภูมิ
เศรษฐีกลัวว่าลูกจะไปอบายภูมิ จึงเริ่มปฏิบัติการ “ล่อหลอกลูก” ให้เข้าวัดโดยหวังให้พระพุทธเจ้าบรมครูช่วยเปลี่ยนแปลงนิสัย โดยเขาได้ใช้เงินเป็นเครื่องล่อใจลูก พูดอย่างชาวบ้านคือ “จ้างลูกเข้าวัด” นั่นเอง
วันหนึ่งจึงเรียกลูกชายมาถามว่า อยากได้เงินไปใช้ไหม จำนวน 100 เหรียญทอง ถ้าอยากได้ขอแค่ให้ลูกไปที่วัดเท่านั้น ลูกชายรับคำโดยทันทีไม่มีปัญหา พอกลับมาถึงบ้านก็เดินยิ้มมารับเงินจากพ่อไป
แต่ภารกิจยังไม่จบแค่นั้น เศรษฐีบอกกับลูกอีกว่าถ้าลูกอยากได้เยอะกว่านี้โดยพ่อจะเพิ่มให้เป็น 200 เหรียญทอง ถ้าหากลูกไปวัดแล้วได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า ลูกได้ยินดังนั้นก็ตกลงทันที
การที่เศรษฐีลงทุนในตัวลูกเช่นนี้ เป็นการหวังผลไปที่มีกำไรเป็นธรรมะจากตัวลูก ปรากฏว่าวันนั้นเขาไปฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าจนจบ กลับมาถึงบ้านพ่อถามว่าไปวัดวันนี้ได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าไหม
“ฟังครับ นั่งฟังจนจบ” เขาตอบ
“แล้วพระพุทธองค์เทศน์เรื่องอะไร”
“พ่อไม่ได้บอกให้จำนี่”
เมื่อลูกมาไม้นี้ เศรษฐีได้ทีก็เอ่ยขึ้นว่าถ้าลูกไปฟังเทศน์แล้วกลับมาเล่าให้พ่อฟังด้วยว่าพระพุทธเจ้าเทศน์เรื่องอะไร พ่อจะเพิ่มให้ 500 เหรียญ
“ตกลง” ลูกชายรับคำ จากนั้นในวันต่อมาก็ไปวัดฟังธรรมพระพุทธเจ้า พอฟังไปได้ระยะหนึ่งก็เกิดการตื่นรู้เกิดปัญญาสว่างไสวและเกิดปีติในธรรม “โอ้ ธรรมะดีอย่างนี้นี่เองพ่อถึงชอบไปวัด”
พอกลับมาถึงบ้านแทนที่นายกาละจะถามถึงเงินค่าจ้างเหมือนทุกครั้ง แต่กลับรู้สึกละอายเมื่อพ่อให้มารับเงิน ก็ได้แต่บอกพ่อแบบเขินอายว่า ผมไม่อยากได้เงินพ่อแล้ว เศรษฐีพอได้ฟังก็มั่นใจว่าบัดนี้ลูกชายเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี
วิธีการนี้ที่เศรษฐีใช้อาจไม่เหมาะกับลูกทุกคนนะครับ เพราะลูกบางคนถมยังไงก็ไม่พอจริงๆมันขึ้นกับบุญวาสนาของลูกด้วย แต่สำหรับอนาถบิณฑิกะแล้วต้องยกให้เป็นยอดคุณพ่อที่สามารถเปลี่ยนแปลงลูกชายเจ้าสำราญกลับมาหาธรรมได้


