20ปี "ครูตู้" คลังความรู้หน้าจอโทรทัศน์
ส่องปรากฎการณ์ “ครูตู้” ผู้ถ่ายทอดความรู้ทางไกลผ่านดาวเทียมให้นักเรียนในถิ่นทุรกันดารมากว่า 20 ปี
เรื่องและภาพ วิรัชชัย พงษ์เกาะ
หากเอ่ยถึง “ครูตู้” หรือ “ครูดารา” อาจไม่คุ้นหูนักในแวดวงการศึกษาไทยยุคปัจจุบัน แต่สำหรับนักเรียนในโรงเรียนที่อยู่พื้นที่ห่างไกลทุรกันดาร ชื่อนี้ถือว่ามีความหมายสำคัญยิ่ง ในฐานะครูผู้ถ่ายทอดวิชาความรู้วิชาต่างๆในระบบการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมบนหน้าจอโทรทัศน์ทั่วประเทศมาตลอดระยะเวลากว่า 20 ปี
2ทศวรรษ “การศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม”
ที่ผ่านมา การศึกษาไทยในระดับต่างๆจะจัดให้ผู้เรียนได้เรียนกับครูจริงเป็นหลัก เพราะถือเป็นระบบที่ก่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาได้อย่างทรงประสิทธิภาพที่สุด ทว่าในทางปฏิบัติมิอาจทำได้ครอบคลุมทุกพื้นที่ของประเทศ ยังมีเด็กอีกหลายล้านคนตกหล่น ไม่มีโอกาสได้เรียนกับครูจริง
โดยเฉพาะเด็กนักเรียนในโรงเรียนเล็กๆไกลปืนเที่ยง ตามป่าเขาตะเข็บชายแดน
ด้วยสายพระเนตรอันยาวไกลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช จึงทรงมีพระราชดำริให้จัดตั้งโครงการการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมเพื่อกระจายโอกาสทางการศึกษา ให้เด็กในพื้นที่ห่างไกลได้เข้าถึงการเรียนภาคพื้นฐานอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกับเด็กในเมือง
โครงการการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม ออกอากาศเป็นครั้งแรกในวันที่ 5 ธ.ค.2538 ที่ผ่านมาได้มูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมช่วยบริหารจัดการสนองพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ใช้หลัก “ถ่ายทอดสด 1 ช่อง 1 ชั้น” โดยช่วงแรกจัดการเรียนการสอนเพียง 6 ห้อง 6 ช่อง คือ ระดับม.1-ม.6 ต่อมาสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้ขอให้เพิ่มในส่วนของระดับประถมศึกษามาอีก 6 ห้อง นั่นคือ ป.1-6 เนื่องจากฝ่ายประถมก็ขาดแคลนครูผู้สอนเช่นกัน ผลสุดท้าย ขวัญแก้ว วัชโรทัย ประธานมูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมตัดสินใจขยายเพิ่มเป็น 15 ช่องจนถึงทุกวันนี้
15 ช่องที่ว่านี้ประกอบด้วย ระดับมัธยมศึกษา 6 ช่อง ระดับประถมศึกษา 6 ช่อง ช่อง 13 เป็นของวิทยาลัยการอาชีพวังไกลกังวล ช่อง 14 เป็นช่องสำหรับผู้เรียนในต่างประเทศ และช่อง 15 เป็นช่องมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ วิทยาเขตวังไกลกังวล
สำหรับระบบการเรียนการสอนจะมีโรงเรียนวังไกลกังวลเป็นโรงเรียนต้นทาง ช่วงแรกในห้องเรียนจะมีโทรทัศน์ 2 ตัว กล้องบันทึกเทป 2 ตัว เน้นถ่ายทอดออกไปทางเดียว ไม่มีการสื่อสารโต้ตอบแบบมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนต้นทางกับปลายทาง ภายหลังได้เปิดช่องทางสำหรับรับคำถาม ข้อสงสัยจากนักเรียนปลายทางผ่านโทรศัพท์ จดหมาย และแฟกซ์ เพื่อนำมาตอบคำถามออกอากาศด้วย
ต่อมาระยะหลัง อินเทอร์เน็ตเริ่มได้รับความนิยม เด็กหรือครูปลายทางจึงส่งคำถามทางอีเมล์ เฟซบุ๊ก ไลน์ และจัดทำระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ที่เด็กต้นทางและปลายทางสามารถสื่อสารพูดคุยกันได้ ครูก็สามารถรับฟังคำถามและตอบคำถามให้ปลายทางได้ในเวลาเดียวกันด้วย
ห้องเรียนบนจอโทรทัศน์
ดร.สุวิมล กุณะจันทร์ เจ้าหน้าที่อี-เลิร์นนิ่ง ฝ่ายอบรมและพัฒนาครู หนึ่งในผลผลิตนักเรียนครูตู้ อธิบายระบบการถ่ายทอดการเรียนการสอนจากศูนย์ต้นทางไปยังปลายทางว่า เดิมทีวังไกลกังวลจะเป็นสตูดิโอต้นทางกระจายไปยังโรงเรียนปลายทางทั่วประเทศ แต่ภายหลังได้กำหนดให้เป็นผู้เรียนปลายทางด้วย
“ยกตัวอย่างเช่น สัปดาห์นี้กำหนดให้วันจันทร์ ห้อง 1 เรียนสดกับครู (ห้องต้นทาง) ห้อง 2-5 เรียนผ่านจอโทรทัศน์แทนครูตู้ วันอังคาร ห้อง 2 เป็นห้องต้นทาง ห้อง 1, 3-5 สลับเป็นห้องปลายทาง แม้วิชาเดียวกันแต่ก็ได้เรียนทั้งห้องต้นทางและปลายทางควบคู่กันไป แนวคิดนี้ท่านขวัญแก้ว บอกว่า เพื่อเป็นการ Double check สองทาง ถ้าเด็กวังเรียนกับครูตู้รู้เรื่อง ปลายทางก็รู้เรื่องด้วย แต่ถ้าเด็กวังเรียนกับครูตู้ไม่รู้เรื่อง ปลายทางก็ไม่รู้เรื่องเหมือนกัน”
ดร.สุวิมล กล่าวต่อว่ากรณีที่ครูต้นทางสอนผิดพลาด เป็นหน้าที่ของครูปลายทางจะต้องช่วยกันแจ้งมายังครูต้นทางให้รับทราบ อย่างวิชาคณิตศาสตร์ที่อาจมีการคิดเลขผิดพลาด เมื่อครูปลายทางหรือผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบพบความผิดพลาดดังกล่าว ก็จะแจ้งเข้ามา ครูต้นทางมีหน้าที่ต้องซ่อมเทปหรือแก้ไขเนื้อหาให้ถูกต้องในทันที
น้อยคนจะรู้ว่า หนึ่งในผู้ที่คอยติดตามดูการเรียนการสอนอย่างใกล้ชิด คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
“เมื่อก่อน พระองค์ทรงทอดพระเนตรทุกวันในช่วงบ่ายหลังทรงงานเสร็จ เมื่อเห็นว่าครูต้นทางสอนผิด เช่น ออกสำเนียงภาษาอังกฤษผิด สอนเนื้อหาสังคมผิด พระองค์ทรงมีพระราชดำรัสผ่านเลขาธิการสำนักพระราชวังให้บอกต่อมายังโรงเรียนและครูผู้สอนโดยตรง แม้ภายใน โรงพยาบาลศิริราช ก็ยังติดโทรทัศน์ดาวเทียม เพื่อที่ท่านจะได้ทอดพระเนตรรายการขณะประทับรักษาพระองค์”อดีตศิษย์เก่าห้องเรียนทางไกลผ่านดาวเทียม เล่าให้ฟังด้วยน้ำเสียงปลื้มปีติ
ขณะเดียวกัน หลายคนอาจมองว่า จุดอ่อนของการเรียนการสอนผ่านจอโทรทัศน์คือ ผู้เรียนอาจจะพร่องในเรื่องการมีส่วนร่วมระหว่างครูกับผู้เรียน รวมถึงการปฏิสัมพันธ์กับสังคม แต่จุดเด่นของสื่อประเภทที่มีปฏิสัมพันธ์โต้ตอบสองทางระหว่างต้นและปลายทาง ทำให้มีโอกาสสื่อสารถึงกัน เด็กปลายทางอยากรู้จักเพื่อนที่วังไกลกังวล อยากพูดคุยซักถามครูตู้ หรือที่พวกเขาเรียกว่า "ครูดารา" ทุกครั้งเวลาครูต้นทางถามไป นักเรียนที่ปลายทางจะขยันมีส่วนร่วมมาก โดยเฉพาะเด็กประถมจะแย่งกันตอบกันอย่างสนุกสนาน เพราะส่วนหนึ่งคืออยากให้พ่อแม่เห็นได้เห็นตัวเองในจอโทรทัศน์
รศ.นราพร จันทร์โอชา รองประธานมูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม อธิบายว่า ได้เสริมการสื่อสารระหว่างครูต้นทางและครูปลายทาง โดยจัดให้ครูต้นทางและปลายทางมาเจอกัน พูดคุยกันว่าอยากให้ต้นทางสอนอะไร และเปิดโอกาสให้เด็กปลายทางมาเยี่ยมชมโรงเรียนต้นทางได้
“ตัวอย่างน่าประทับใจที่เคยเห็นมาก็คือ เวลาครูต้นทางเดินสายไปบรรยายในต่างจังหวัด เด็กจะดีใจมาก และร้องเรียก "ครูดาราหนูมาแล้วๆ”
“ครูตู้”พระเอกตัวจริงเสียงจริง
ลองมาฟังเสียงศิษย์เก่า-ศิษย์ปัจจุบันของครูตู้กันบ้าง ดร.สุวิมล กุณะจันทร์ ลูกหม้อของระบบครูตู้ ยืนยันว่าได้ผลจริงๆ
“โดยส่วนตัวเรียนจากโรงเรียนปลายทางมา ผลลัพธ์คือเด็กจะมีวินัยในตนเองมาก มาเรียนตรงเวลา ตั้งใจเรียน ถ้าครูประจำห้องไม่อยู่ เด็กก็รู้หน้าที่ว่าต้องเปิดทีวีเอง ขึ้นหัวข้อเขียนบนกระดานเองว่า วันนี้เรียนเรื่องอะไรบ้าง”
ขณะที่ กาญจนา อินทร์นวล นักเรียนชั้น ม.6 แผนกวิทย์-คณิต โรงเรียนวังไกลกังวล เป็นอีกหนึ่งเสียงที่ยืนยันว่าครูตู้นี่แหละ พระเอกตัวจริง
"เริ่มเรียนมาตั้งแต่ ม.1 แรกๆยอมรับว่าเครียด ไม่ค่อยเข้าใจ ต้องแยกประสาทเยอะ พอปรับตัวไปสักพักก็พยายามดึงข้อดีของการเรียนรูปแบบนี้ออกมาคือ สงสัยอะไร จดคำถามเอาไว้ไปถามครู ถ้ารู้สึกว่าที่ครูตู้ให้มันไม่พอ เราก็ต้องแสวงหาความรู้เพิ่มเติมจากภายนอกมากขึ้น ถึงตอนนี้ก็ 6 ปีแล้วค่ะ สิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจนคือ จดงานไวขึ้น เข้าใจอะไรง่ายขึ้น ไปสอบที่ไหนก็ไม่แพ้เพื่อน"
ถามว่าเรียนกับครูตู้แล้วรู้สึกว่ามีอะไรขาดหายไปบ้างไหม?
“ถ้าเราขยัน หาหนังสือจากแหล่งอื่นมาอ่านเพิ่มอยู่เรื่อยๆ เช่น ห้องสมุด อินเทอร์เน็ต สอบถามจากครู บ่อยครั้งพวกเราก็ช่วยกันติวหนังสือ ถ้าติวกันเองไม่เข้าใจก็ไปถามครูได้ นอกจากนี้ ทางโรงเรียนก็มีจัดติวให้ ม.6 เตรียมสอบ GAT PAT อยู่เรื่อยๆ หนูเลยไม่รู้สึกว่า การเรียนทางไกลทำให้เราขาด หรือได้อะไรน้อยไป มันก็เหมือนเรียนจากครูทั่วไปนี่แหละ แถมยังได้เปรียบกว่าด้วยซ้ำที่ได้เรียนกับครูตั้งสองคน ทั้งครูตู้และครูประจำห้องเรียน”เธอยิ้มกว้างอย่างภาคภูมิใจ
กว่าสองทศวรรษที่ปรากฎการณ์ครูตู้และระบบการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมแพร่ขยายไปในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ทำให้เด็กไทยทุกคนได้มีโอกาสเข้าถึงการศึกษาอย่างเท่าเทียมและทั่วถึง พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าสามารถเยียวยาบาดแผลฉกรรจ์ของการศึกษาไทยให้ดีขึ้นอย่างน่าชื่นใจ


