จริยะรัฐศาสตร์ 4 ความดีที่ต้องมีผู้นำ
ว่ากันว่าความชั่วทำง่าย ความดีทำยาก หรือ “ความดีไม่มีขาย อยากได้ต้องทำเอง”
ว่ากันว่าความชั่วทำง่าย ความดีทำยาก
หรือ “ความดีไม่มีขาย อยากได้ต้องทำเอง”
แต่ในทฤษฎีรัฐศาสตร์ “ความดีต้องมีต้นแบบ” ทั้งต้นแบบของสิ่งหรือการกระทำที่เรียกว่า “ความดี” และผู้ที่จะเป็นต้นแบบหรือชี้นำให้มีการ “กระทำ” ความดีนั้นขึ้น
วิชาเกี่ยวกับความดีในสมัยโบราณเรียกว่าวิชาจริยศาสตร์ โดยอริสโตเติล (มีชีวิตอยู่ในช่วง 384-322 ปีก่อนคริสตกาล) เป็นผู้จัดวิชานี้เป็น 1 ใน 8 ของ “วิชาหลัก” ที่สำคัญของวงวิชาการในยุคแรก (รู้จักกันทั่วไปในชื่อว่า “ยุคคลาสสิก”) อันประกอบด้วย ตรรกวิทยา ปรัชญาเกี่ยวกับธรรมชาติ จิตวิทยา ชีววิทยา อภิปรัชญา สุนทรียศาสตร์ จริยศาสตร์ และรัฐศาสตร์
อริสโตเติลได้เรียบเรียงตำราทั้ง 8 วิชานี้อย่างเป็นระบบ ซึ่งจะไม่ขอกล่าวถึงวิชาอื่นๆ เพราะอยากจะเน้นมาที่เรื่องของจริยศาสตร์นั้นเป็นหลัก
“การกระทำที่ดี” ที่เรียกว่าจริยศาสตร์นี้ เริ่มต้นได้มีการนำเสนอมาจากโสกราตีส (469-399 ปีก่อนคริสตกาล) ผู้เป็นอาจารย์ของเพลโต และเพลโต (429-347 ปีก่อนคริสตกาล) ผู้เป็นอาจารย์ของอริสโตเติลมาก่อนแล้ว โดยเริ่มจากการตั้งคำถามว่า “How human should best live ?” หรือ “ทำอย่างไรมนุษย์จึงจะมีชีวิต (ความเป็นอยู่) ที่ดีที่สุด?”
“ชีวิตที่ดี” มีแยกเป็น 2 ด้าน ถ้าเป็นของมนุษย์แต่ละคน (Individual Good) จะเรียกว่าจริยศาสตร์ (Ethics) แต่ถ้าเป็นของส่วนรวมหรือคนที่มาอยู่ร่วมกัน (Common Good) จะเรียกว่ารัฐศาสตร์ (Politics) ทั้งนี้รัฐศาสตร์ก็เกิดขึ้นและเกี่ยวเนื่องด้วยจริยศาสตร์ นั่นก็คือ “ความดีทางการเมืองก็เกิดจากความดีของบุคคล” นั่นเอง
อริสโตเติลบรรยายว่า เป้าหมายของมนุษย์คือการแสวงหาความสุข (Happiness) หมายถึงการที่มนุษย์มีชีวิตที่ดี (Wellbeing) ซึ่งจะเกิดขึ้นจากความเป็นอยู่ที่ดี (Goodliving) เพื่อไปสู่สภาพดังกล่าวที่ต้องการ มนุษย์จึงต้องมี “คุณธรรม” (Virtue) โดยอริสโตเติลให้ความหมายว่า “การควบคุมการกระทำของมนุษย์ให้อยู่ในแนวทางที่ดีงาม” แล้วก็มีการกำหนดคุณธรรมสำหรับบุคคลกลุ่มต่างๆ ขึ้น ที่ผู้เขียนจำได้ก็เช่น คุณธรรมสำหรับผู้นำหรือผู้ปกครอง จะได้แก่ ความรู้ ความกล้าหาญ ความซื่อสัตย์ และความยุติธรรม
แล้วบอกด้วยว่าผู้นำจะต้องเป็นแบบอย่างที่ดีในเรื่องคุณธรรมเหล่านี้
ในแนวปรัชญาตะวันออกในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสังคมไทย จะมีอยู่ 3 แนวคิดหลักๆ หนึ่ง ก็คือแนวคิดของศาสนาพุทธที่คนไทยทุกระดับยึดถือและคุ้นเคย สอง ก็คือแนวคิดฮินดูพราหมณ์ที่ชนชั้นปกครองซึมซับรับเอาเข้ามา และสาม ก็คือแนวคิดของขงจื๊อที่คนจีนซึมซาบและยังปฏิบัติมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทั้งหมดนี้มีกรอบการมองหรืออธิบายถึง “ความดี” คล้ายๆ กันว่า คือ “ชีวิตที่ดีคือการทำหน้าที่ของแต่ละคนให้ดีที่สุด”
หน้าที่ของผู้คนในศาสนาพุทธมีทั้ง สังคหวัตถุ 4 สำหรับผู้ครองเรือน จักรวรรดิวัตร 12 และทศพิธราชธรรม 10 สำหรับผู้ปกครอง ในศาสนาฮินดูก็คือบทสวดตามคัมภีร์ต่างๆ อย่างที่ถ่ายทอดไว้ในมหาภารตยุทธและภควัทคีตา ที่เน้นให้ผู้มีหน้าที่ต่างๆ ทำหน้าที่ของตนให้บรรลุผลจนถึงที่สุด แม้จะต้องฆ่าฟันกันระหว่างเครือญาติ และในลัทธิขงจื๊อก็พร่ำสอนให้บุคคลแต่ละสถานะ คือตั้งแต่กษัตริย์ ขุนนาง พ่อแม่ ลูก และญาติพี่น้อง พึงต้องปฏิบัติต่อกันอย่างไร
ทั้งหมดนี้ก็คือ “การปฏิบัติหน้าที่ให้สมบูรณ์” นั่นเอง
มีทฤษฎีรัฐศาสตร์สมัยใหม่ทฤษฎีหนึ่งที่เกิดขึ้นเมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เรียกว่า Structuralfunctional Theory นักวิชาการไทยแปลว่า “ทฤษฎีการเมืองแนวโครงสร้างหน้าที่” มีสาระโดยสรุปว่า การสร้างการเมืองให้มีพัฒนาการที่ดีจะต้อง “จัดวางโครงสร้างทางการเมืองให้ดี” ที่เริ่มจากตัวกฎหมายสูงสุดคือรัฐธรรมนูญ ที่จะกำหนดถึงโครงสร้างของกลไกต่างๆ ทางการเมืองทั้งหลายไว้ในนั้น ได้แก่ กลไกของอำนาจนิติบัญญัติก็คือรัฐสภา กลไกของอำนาจบริหารก็คือรัฐบาล และกลไกของอำนาจตุลาการก็คือศาล
ร่วมกับการกำหนดบทบาทหน้าที่ของบุคคลในกลไกเหล่านั้นให้ชัดเจน ที่ต้องอาศัยหลักการอีกบางอย่างเช่น ความประสานสอดคล้อง การตรวจสอบถ่วงดุล จริยธรรมหรือความรับผิดชอบ เป็นต้น เพื่อนำไปสู่เป้าหมายที่สำคัญของระบบการเมือง 3 สิ่งคือ ความชอบธรรม ประสิทธิภาพ และเสถียรภาพ ที่เป็น “สามเส้า” ช่วยพยุงค้ำยันและขับเคลื่อนระบบการเมืองนั้น
ในหลักสูตรผู้นำยุคใหม่ในระบอบประชาธิปไตยของสถาบันพระปกเกล้า ที่มีชื่อย่อว่า ปนป. (แต่เดิมเมื่อเปิดหลักสูตรใน พ.ศ. 2547 เรียกชื่อหลักสูตรว่า “ผู้นำการเมืองยุคใหม่ในระบอบประชาธิปไตย” ย่อว่า นมป. แต่หลังจากที่เปิดมาได้ 6 ปี ถึง พ.ศ. 2553 คณะกรรมการหลักสูตรเห็นว่าควรเปิดกว้างไม่เฉพาะแต่ “ผู้นำทางการเมือง” แต่ควรรวมถึงผู้นำในแวดวงอื่นๆ ด้วย จึงได้เปลี่ยนมาเป็น ปนป.ดังกล่าว) ที่เน้นการพัฒนาคนในช่วงอายุ 2540 ปี ให้เป็น “ผู้นำที่ทันสมัย” ซึ่งผู้เขียนร่วมเป็นกรรมการในหลักสูตรนี้มาตั้งแต่ พ.ศ. 2547 ร่วม 10 ปีเข้านี่แล้ว
หลักสูตรนี้มีจุดมุ่งหมายชัดเจนในการสร้าง “ผู้นำต้นแบบ” ที่จะออกไปเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศในด้านต่างๆ โดยผู้ที่ศึกษาในหลักสูตรนี้จะต้องศึกษาตัวแบบของผู้นำทั้งตะวันตกและตะวันออกใน “ลักษณะเด่น” ด้านต่างๆ เป็นต้นว่า ผู้นำด้านการบริหาร ด้านจริยธรรม และด้านการกอบกู้วิกฤต
ยิ่งไปกว่านั้นยังจะต้องมีการทำโครงงานที่มุ่งไปสู่วัตถุประสงค์ที่สำคัญของความเป็นผู้นำ นั่นก็คือ “จิตอาสา” หรือการเสียสละอย่างทุ่มเทในการทำงานให้กับส่วนรวม โดยนักศึกษาทุกคนในรุ่นได้ “บูรณาการ” หรือร่วมกันทำโครงการอย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียว ด้วยการตั้งบริษัทแล้วแบ่งความรับผิดชอบเป็นฝ่ายๆ เพื่อช่วยเหลือผู้พ้นโทษให้มีอาชีพ รายได้ และฐานะที่มั่นคง แม้ว่านักศึกษารุ่นนี้กำลังจะจบการศึกษาในเดือน พ.ย.นี้ แต่ก็จะดำเนินงานร่วมกันต่อไปให้การช่วยเหลือผู้พ้นโทษได้ประสบความสำเร็จ และกิจการของบริษัทเจริญรุ่งเรืองไปอย่างต่อเนื่อง
ที่เขียนมาทั้งหมดถึงจริยศาสตร์ในยุคกรีก จริยศาสตร์ในแนวคิดตะวันออก ทฤษฎีรัฐศาสตร์แบบโครงสร้างหน้าที่ และหลักสูตรการอบรมผู้นำของสถาบันพระปกเกล้า ก็เพื่อจะเน้นให้เห็นว่า ความดีนั้นต้องมี “ต้นแบบ” และคนที่จะเป็นต้นแบบก็คือ “ผู้นำ”
บางบ้านบางเมืองมันมีผู้นำไม่ดี จึงต้องซวยตลอดชาติ


