posttoday

ฝนดาวตกสิงโต

16 พฤศจิกายน 2557

ฝนดาวตกสิงโตหรือฝนดาวตกลีโอนิดส์ (Leonids) เป็นฝนดาวตกกลุ่มเด่นกลุ่มหนึ่งในบรรดาฝนดาวตก

ฝนดาวตกสิงโตหรือฝนดาวตกลีโอนิดส์ (Leonids) เป็นฝนดาวตกกลุ่มเด่นกลุ่มหนึ่งในบรรดาฝนดาวตกหลายกลุ่มที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี ในอดีตเคยมีดาวตกในอัตราสูงเกิน 1,000 ดวง/ชั่วโมง ที่นักดาราศาสตร์เรียกว่าพายุฝนดาวตก (meteor storm) มาแล้วหลายครั้ง

ฝนดาวตกเกิดจากโลกเคลื่อนผ่านสะเก็ดดาวจำนวนมาก สะเก็ดดาวเหล่านี้หลุดมาจากดาวหาง และมีการเคลื่อนที่เป็นสายในอวกาศ เรียกว่าธารสะเก็ดดาว เมื่อปะทะโลก สะเก็ดดาวจะเข้าสู่บรรยากาศ การเผาไหม้และอันตรกิริยาในบรรยากาศ ทำให้โมเลกุลอากาศแตกตัวและปลดปล่อยพลังงานออกมา เกิดแสงสว่างวาบจนเห็นเป็นดาวตกบนท้องฟ้า ดาวตกที่เกิดจากสะเก็ดดาวในธารเดียวกันจะมีทิศทางการเคลื่อนที่ ซึ่งดูเหมือนพุ่งออกมาจากจุดเดียวกันบนท้องฟ้า เราเรียกปรากฏการณ์นี้ว่าฝนดาวตก (meteor shower) และส่วนใหญ่จะเรียกชื่อฝนดาวตกตามกลุ่มดาวที่จุดกระจายนั้นปรากฏอยู่

การสังเกตดาวตกจะทำได้ดีที่สุดจากสถานที่ห่างไกลจากตัวเมือง ยิ่งท้องฟ้ามืดปราศจากแสงรบกวนมากเท่าใด ก็มีโอกาสเห็นดาวตกมากขึ้นเท่านั้น นอกจากเมฆแล้ว แสงจันทร์จึงเป็นปัจจัยสำคัญอันหนึ่งที่กำหนดความเป็นไปได้ที่จะเห็นดาวตก

ในรอบปีมีฝนดาวตกหลายกลุ่ม แต่ละกลุ่มมีอัตราการตกไม่เท่ากัน ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่มีอัตราตกน้อยกว่า 10 ดวง/ชั่วโมง ฝนดาวตกที่มีอัตราสูงสุดและน่าประทับที่สุดสำหรับประเทศไทย ได้แก่ ฝนดาวตกคนคู่ในกลางเดือน ธ.ค. และฝนดาวตกเพอร์ซิอัส หรือฝนดาวตกวันแม่ในกลางเดือน ส.ค.

กลางเดือน พ.ย.ของทุกปี ก็มีฝนดาวตกสิงโตซึ่งโดยปกติมีอัตราตกสูงสุดเพียงประมาณ 15 ดวง/ชั่วโมง ฝนดาวตกสิงโตมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดีพอๆ กับฝนดาวตกเพอร์ซิอัสและฝนดาวตกคนคู่ หรืออาจได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษในบางปี เนื่องจากเคยมีดาวตกในอัตราสูงมากมาแล้วหลายครั้งในอดีต รวมทั้งที่เห็นได้ในประเทศไทยเมื่อ พ.ศ. 2541 และ 2544

ฝนดาวตกสิงโต

 

ฝนดาวตกสิงโตเกิดจากดาวหางเทมเพลทัตเทิล (55P/TempelTuttle) ค้นพบโดยนักดาราศาสตร์สองคนเมื่อปลาย ค.ศ. 1865 ถึงต้น ค.ศ. 1866 ตรงกับปลาย พ.ศ. 2408 ตามปฏิทินไทยสมัยนั้น แต่เมื่อทราบวงโคจรและคำนวณย้อนไปก็พบว่าเคยมีรายงานการเห็นดาวหางดวงนี้มาก่อนหน้านั้น ดาวหางเทมเพลทัตเทิลเคยผ่านใกล้โลกเมื่อปลายเดือน ต.ค. ค.ศ. 1366 ที่ระยะห่างเพียง 3.4 ล้านกิโลเมตร ใกล้เป็นอันดับสองรองจากดาวหางเลกเซลล์ (D/1770 L1 Lexell) ใน ค.ศ. 1770

ดาวหางเทมเพลทัตเทิลมีคาบการโคจรรอบดวงอาทิตย์ประมาณ 33 ปี คาบของดาวหางเป็นสัดส่วนพ้องกับคาบการโคจรของดาวพฤหัสบดี แรงโน้มถ่วงของดาวเคราะห์ยักษ์จึงคอย “ต้อน” ให้สะเก็ดดาวภายในธารอยู่กันอย่างหนาแน่น ไม่กระจัดกระจายกันออกไปมากนัก ธารสะเก็ดดาวของฝนดาวตกสิงโตมีหลายสาย เกิดขึ้นใหม่ทุกครั้งที่ดาวหางเคลื่อนเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ หากปีใดโลกผ่านธารสะเก็ดดาวสายใดสายหนึ่ง หรือหลายสายในเวลาใกล้เคียงกันพอดี ก็จะเกิดฝนดาวตกในอัตราสูงมากเป็นพิเศษ หากสูงเกิน 1,000 ดวง/ชั่วโมง เรียกว่าพายุฝนดาวตก

ค.ศ. 1833 มีรายงานการเห็นพายุฝนดาวตกสิงโตจากด้านตะวันออกอเมริกาเหนือ จากนั้นก็เกิดอีกใน ค.ศ. 18661868 ช่วงเวลานั้นเองจึงพบว่าวงโคจรของดาวตกใกล้เคียงกับวงโคจรของดาวหางเทมเพลทัตเทิล และพายุฝนดาวตกสิงโตก็ดูเหมือนจะเกิดขึ้นทุกๆ ประมาณ 33 ปี ตามคาบการโคจรของดาวหางอีกด้วย อย่างไรก็ตามฝนดาวตกสิงโตใน ค.ศ. 1899 ไม่ได้มีจำนวนมากอย่างที่คาดไว้

พายุฝนดาวตกสิงโตเกิดขึ้นอีกครั้งใน ค.ศ. 1966 มีรายงานการเห็นในอเมริกาเหนือ ฝนดาวตกสิงโตใน พ.ศ. 2541 มีอัตราสูงหลายร้อยดวงต่อชั่วโมง แม้ว่าจะไม่ได้มีจำนวนมากถึงระดับพายุ แต่ปรากฏว่าปีนั้นมีดาวตกสว่างมากที่เรียกว่าลูกไฟ (fireball) ตกลงมาเป็นจำนวนมาก ผู้สังเกตในแถบเอเชียรวมทั้งประเทศไทยสามารถเห็นได้ต่อเนื่องตั้งแต่เที่ยงคืนครึ่งถึงรุ่งเช้าของวันที่ 17 พ.ย. โดยอัตราตกได้ขึ้นถึงจุดสูงสุดก่อนเวลาที่นักดาราศาสตร์ได้คาดหมายไว้ประมาณ 16 ชั่วโมง ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้กับนักดาราศาสตร์ ผลการศึกษาวิจัยในเวลาต่อมาจึงค้นพบสาเหตุว่าเกิดจากสะเก็ดดาวขนาดใหญ่ที่หลุดออกมาเมื่อครั้งที่ดาวหางเข้าใกล้ดวงอาทิตย์เมื่อ ค.ศ. 1333

พ.ศ. 2542, 2544 และ 2545 ได้เกิดพายุฝนดาวตกเห็นได้จากที่ต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่าช่วงที่ตกถี่สุดเกิดขึ้นในเวลาใด โดยประเทศไทยเห็นได้ใน พ.ศ. 2544 ช่วงปีดังกล่าว นักดาราศาสตร์ได้ใช้แบบจำลองการเคลื่อนที่ของสะเก็ดดาวในการพยากรณ์ฝนดาวตกสิงโต ซึ่งปรากฏว่าทำนายเวลาตกสูงสุดได้อย่างแม่นยำ แสดงให้เห็นว่าเราสามารถคาดหมายการเกิดฝนดาวตกสิงโตได้ดีกว่าในอดีต

ดาวหางเทมเพลทัตเทิลจะโคจรกลับมาใกล้ดวงอาทิตย์อีกครั้งใน พ.ศ. 2574 แบบจำลองโดยผู้เชี่ยวชาญหลายคณะแสดงว่ามีโอกาสจะเกิดฝนดาวตกสิงโตด้วยอัตราสูงกว่าปกติในช่วง พ.ศ. 25762581 (ค.ศ. 20332038) โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน พ.ศ. 2577 อัตราการเกิดดาวตกจากฝนดาวตกกลุ่มนี้อาจสูงในหลักหลายร้อยดวงต่อชั่วโมง หรืออาจถึงระดับพายุได้

นับจากพายุฝนดาวตกสิงโตครั้งที่แล้วจนถึงครั้งถัดไป ปัจจุบันผ่านมาแล้วครึ่งทาง ปีนี้นักดาราศาสตร์คาดว่าฝนดาวตกสิงโตจะตกในอัตราค่อนข้างต่ำ ใกล้เคียงระดับปกติ คือไม่เกิน 15 ดวง/ ชั่วโมง ประเทศไทยอาจเห็นตกถี่ที่สุดในคืนวันที่ 17 ถึงเช้ามืดวันที่ 18 พ.ย. และคืนวันที่ 18 ถึงเช้ามืดวันที่ 19 พ.ย. เริ่มเห็นได้ตั้งแต่เที่ยงคืนครึ่งเป็นต้นไป โดยช่วงแรกจะมีอัตราต่ำมาก แต่มีโอกาสเห็นดาวตกที่เคลื่อนที่เป็นทางยาวเฉียดบรรยากาศโลก และดวงจันทร์สว่างเป็นเสี้ยวจะรบกวนการดูดาวตกในช่วงหลังตี 3 จนถึงเช้ามืด

ข่าวล่าสุด

เสร็จก่อนกำหนด! มอเตอร์เวย์ M6 วิ่งฟรี บางปะอิน-โคราช รับปีใหม่ 69