บันเทิงเริงรมย์
ท่านผู้อ่านที่เคารพ สมัยนี้ความนิยมเรื่องของวัตถุนั้นเจริญงอกงามยิ่งกว่าความเจริญด้านจิตใจ
ท่านผู้อ่านที่เคารพ สมัยนี้ความนิยมเรื่องของวัตถุนั้นเจริญงอกงามยิ่งกว่าความเจริญด้านจิตใจ เมื่อความเจริญด้านวัตถุมีมากขึ้นๆ ก็หนีไม่พ้นเรื่องของการปรุงแต่ง กิเลสตัณหา ให้มีความรื่นเริงบันเทิงใจ ผู้คนก็พร้อมที่จะจับจ่ายใช้ทรัพย์ที่หามาได้โดยยาก เพื่อหาความสุขความเพลิดเพลิน ไม่ว่าจะทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ความสนุกสนานเหล่านั้น ความจริง คือ การสร้างอารมณ์ที่เหมาะให้กิเลส ที่เป็นไปในทางความโลภ ทางตัณหา ให้เกิดขึ้น บางทีก็สามารถแทรกด้วยความโกรธ ด้วยความไม่พอใจ เพื่อให้ชวนติดตาม หรือเรื่องราวที่ทำให้เพลิดเพลิน ฟุ้งไปในอารมณ์ต่างๆ ที่ไม่มีแก่นสาร นั่นก็คือ เรื่องของวงการบันเทิง ซึ่งจะให้ครบถ้วน สมจริง น่าติดตาม ก็ต้องมีการนำเสนอเรื่องราวด้วยชายหญิง ที่เราเรียกว่า ดารา นักร้อง นักแสดง
ในสมัยพุทธกาล มีพ่อบ้านนักเต้นรำคนหนึ่ง ชื่อว่า ตาลบุตร (พระสูตร ชื่อ “ตาลปุตตสูตร”) เขาได้ชื่อนี้เพราะเป็นผู้ที่มีผิวพรรณผ่องใสเหมือนลูกตาลสุกที่หลุดจากขั้ว นายตาลบุตรเกิดในตระกูลนักฟ้อนรำ เมื่อเติบโตขึ้นก็ได้ศึกษาเรื่องการฟ้อนรำ จนนับว่าเป็นยอดทางนาฏศิลป์ฟ้อนรำเลยทีเดียว เขามีชื่อเสียงกระฉ่อนไปทั่วชมพูทวีป เรียกว่า เป็นดารายอดนิยม มีชื่อเสียงดังระดับสากล นายตาลบุตรประสบความสำเร็จในอาชีพของตนอย่างยิ่ง เขามีฐานะดี มีเกวียน 1,000 เล่ม มีภรรยา 500 คน มีหญิงแม่บ้าน 500 คน เป็นบริวาร ไปถึงนครหรือนิคมใดๆ ประชาชนพากันให้ทรัพย์แสนหนึ่งแก่เขาก่อนทีเดียว ต่อเมื่อเขาแต่งตัว แสดงมหรสพ พร้อมด้วยหญิง 1,000 คน ประชาชนต่างโยนเครื่องประดับมือเท้า ตบรางวัลให้ไม่มีสิ้นสุด
อย่างไรก็ตาม นายตาลบุตรผู้นี้เป็นผู้มีบุญบารมีสั่งสมมาก่อนและเป็นผู้ที่จะได้บรรลุธรรมในชาตินั้น วันหนึ่งเขาแวดล้อมด้วยบริวารแสดงมหรสพอยู่ในกรุงราชคฤห์ ปรารถนาจะไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยบริวารของเขาทั้งหมด จึงไปยังที่ประทับของพระผู้มีพระภาคเจ้าและได้เข้าเฝ้า แล้วทูลถามว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เคยได้ยินนักเต้นรำ ผู้เป็นอาจารย์ก่อนๆ กล่าวว่า นักเต้นรำคนใด ทำให้คนหัวเราะ รื่นเริง ด้วยคำจริงบ้าง คำเท็จบ้าง กลางสถานเต้นรำ กลางสถานมหรสพ ผู้นั้นเมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหาย แห่งเทวดาผู้ร่าเริง ในข้อนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างไร”
พระพุทธเจ้าทรงห้ามเขาว่า อย่าเลยนายคามณี ขอพักข้อนี้เสียเถิด ท่านอย่าถามข้อนี้กับเราเลย ทรงห้ามถึง 3 ครั้ง นายตาลบุตรก็ยังทูลถาม พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
“ดูก่อนนายคามณี เราห้ามท่านไม่ได้แล้วว่า อย่าเลยนายคามณี ขอพักข้อนี้เสียเถิด ท่านอย่าถามข้อนี้กับเราเลย แต่เราจักพยากรณ์ให้ท่าน ดูก่อนนายคามณี เมื่อก่อนสัตว์ทั้งหลาย ยังไม่ปราศจากราคะ อันกิเลสเครื่องผูกคือราคะผูกไว้ นักเต้นรำรวบรวมเข้าไว้ซึ่งธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในท่ามกลางสถานเต้นรำ ในท่ามกลางสถานมหรสพแก่สัตว์เหล่านั้นมากยิ่งขึ้น เมื่อก่อนสัตว์ทั้งหลายยังไม่ปราศจากโทสะ อันกิเลสเครื่องผูกคือโทสะผูกไว้ นักเต้นรำรวบรวมเข้าไว้ซึ่งธรรมเป็นที่ตั้งแห่งโทสะ ในท่ามกลางสถานเต้นรำ ในท่ามกลางสถานมหรสพ แก่สัตว์เหล่านั้นมากยิ่งขึ้น เมื่อก่อนสัตว์ทั้งหลายยังไม่ปราศจากโมหะ อันกิเลสเครื่องผูกคือโมหะผูกไว้ นักเต้นรำ ย่อมรวบรวมไว้ซึ่งธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งโมหะ ในท่ามกลางสถานเต้นรำ ในท่ามกลางสถานมหรสพ แก่สัตว์เหล่านั้นมากยิ่งขึ้น (อรรถกถา อธิบายยกตัวอย่าง ประกอบว่า การแสดงมายากลแสดงลมเจือฝนพัดด้ายห้าสีออกจากปาก และนัยที่ยิ่งๆ ขึ้นไปอย่างอื่นๆ ซึ่งแสดงอาการที่ประกอบด้วยความยินดีในกาม เป็นปัจจัยแก่ “ราคะ” อาการที่แสดงมายากลมีการตัดมือและเท้า เป็นต้น เป็นปัจจัยแก่ “โทสะ” การแสดงมายากลชนิดเอาน้ำทำน้ำมัน เอาน้ำมันทำน้ำ อย่างนี้เป็นต้น เป็นปัจจัยแห่ง “โมหะ”)
นักเต้นรำนั้นตนเองก็มัวเมาประมาท ตั้งอยู่ในความประมาท เมื่อแตกกายตายไป ย่อมบังเกิดในนรกชื่อ ปหาสะ (อรรถกถาอธิบายว่า นรกชื่อว่า “ปหาสะ” เป็นส่วนหนึ่งของอเวจีที่สัตว์แต่งตัวเป็นนักฟ้อนรำ ทำเป็นฟ้อนรำ และขับร้อง พากันหมกไหม้อยู่) อนึ่ง ถ้าเขามีความเห็นอย่างนี้ว่า นักเต้นรำคนใด ทำให้คนหัวเราะ รื่นเริง ด้วยคำจริงบ้าง คำเท็จบ้าง กลางสถานเต้นรำ กลางสถานมหรสพ ผู้นั้นเมื่อแตกกายตายไปย่อมเข้าถึงความเป็นสหาย แห่งเทวดาชื่อปหาสะ ความเห็นของเขานั้นเป็นความเห็นผิด ดูก่อนนายคามณี ก็เราย่อมกล่าวคติสองอย่างคือ นรก หรือกำเนิดสัตว์เดียรัจฉาน อย่างใดอย่างหนึ่ง ของบุคคลผู้มีความเห็นผิด”
นายตาลบุตร ร้องไห้สะอื้น น้ำตาไหล พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า เราได้ห้ามท่านแล้วมิใช่หรือว่า อย่าเลย อย่าถามข้อนี้เลย นายตาลบุตรกราบทูลว่า เขาร้องไห้เพราะถูกนักเต้นรำผู้เป็นอาจารย์ก่อนๆ ล่อลวงให้หลงเข้าใจผิด บัดนี้ได้ฟังธรรมแล้ว กระจ่างแจ้งยิ่งนัก จึงขอบรรพชาอุปสมบท ในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า นายตาลบุตรผู้นาฏคามณีได้บรรพชาอุปสมบทแล้ว ไม่นานนัก ก็ได้หลีกออกจากหมู่อยู่ผู้เดียว ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจแน่วแน่ ท่านพระตาลบุตรได้บรรลุเป็นพระอรหันต์
ปัจจุบันการบันเทิงเริงรมย์มีมากมาย น้อยนักที่จะเป็นไปเพื่อก่อให้เกิดบุญกุศล เพื่อส่งเสริมศีลธรรมอันดีงาม หรือก่อให้เกิดความเห็นโทษของกิเลสของการทำกรรมชั่ว ผู้ที่เข้าไปเกี่ยวข้องพึงศึกษาพระสูตรนี้ด้วยดี แล้วพึงระมัดระวัง หากการกระทำที่เพิ่มพูนกิเลสของผู้อื่น ทั้งผู้นั้นเองก็ประกอบด้วยกิเลส ย่อมเป็นบุญไปไม่ได้ เมื่อเป็นบาปย่อมให้ผลเป็นความทุกข์ทั้งในภพนี้และภพต่อๆ ไป จึงควรระมัดระวัง อย่าคิดถึงเพียงเงินและทอง


