ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล เจ้าของพิพิธภัณฑ์วังวรดิศ
เมื่อมีการเปิดเผยทรัพย์สินของคณะรัฐมนตรีร่วมรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แล้วปรากฏว่า ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล
เมื่อมีการเปิดเผยทรัพย์สินของคณะรัฐมนตรีร่วมรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แล้วปรากฏว่า ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี มีทรัพย์มากเป็นอันดับสองรองจาก ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี จึงมีผู้คนจำนวนมากสนใจใคร่รู้ประวัติความเป็นมาของ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล มากกว่าที่เห็นและเป็นอยู่ เราจึงน่าจะมาทำความรู้จัก ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล กันให้กระจ่างแจ้งกันสักครั้ง
ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล เป็นบุตรชายคนเดียวของ พล.ต.ม.ร.ว.สังขดิศ ดิศกุล อดีตเสรีไทยและอดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำหลายประเทศ กับ มัณฑนา ดิศกุล ณ อยุธยา (สกุลเดิม กุญชร ณ อยุธยา) เป็นนัดดาใน พ.ท.ม.จ.จุลดิศ ดิศกุล และหม่อมแช่ม ดิศกุล ณ อยุธยา (สกุลเดิม เปาโรหิตย์) เป็นปนัดดา (เหลน) ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
เกิดเมื่อวันที่ 20 ส.ค. 2499 ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กรุงเทพฯ จบการศึกษาชั้นต้นจากโรงเรียนสาธิต มศว ประสานมิตร แล้วติดตามครอบครัวไปศึกษาต่อในต่างประเทศ ณ โรงเรียนเตรียมทหารคิงส์ ประเทศออสเตรเลีย โดยสำเร็จการศึกษาปริญญาตรีทางวิทยาศาสตร์ และปริญญาโททางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จาก Brigham Young University สหรัฐอเมริกา และได้เข้าศึกษาหลักสูตรวิชาประวัติศาสตร์ไทยญี่ปุ่น เปรียบเทียบ ณ Sophia University ประเทศญี่ปุ่น
ชีวิตการรับราชการของ ม.ล.ปนัดดา เริ่มต้นในกองทัพบก ตำแหน่งอาจารย์สังกัดส่วนการศึกษา กองวิชากฎหมายและสังคมศาสตร์ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ชั้นยศร้อยเอก และเข้าศึกษาหลักสูตรกระโดดร่ม (ส่งทางอากาศ) รุ่นที่ 144 และหลักสูตรชั้นนายร้อยเหล่าทหารม้า จากนั้นจึงได้โอนย้ายเข้ารับราชการในสังกัดกองการต่างประเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย และได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งสำคัญหลายตำแหน่ง อาทิ ผู้อำนวยการส่วนนโยบายการเมืองการปกครองและการบริหาร สำนักนโยบายและแผน รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร รองผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ และดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวงมหาดไทยเมื่อเดือน ต.ค. 2555
ตลอดระยะเวลาที่รับราชการในกระทรวงมหาดไทย ม.ล.ปนัดดา ได้ปฏิบัติหน้าที่ล่ามประจำตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมาหลายสมัย ตั้งแต่ พล.อ.สิทธิ จิรโรจน์ พล.อ.ประจวบ สุนทรางกูร พล.ต.อ.ประมาณ อดิเรกสาร ดร.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ บัญญัติ บรรทัดฐาน วันมูหะมัดนอร์ มะทา และอารีย์ วงศ์อารยะ
จากประสบการณ์ในการทำงานร่วมกับรัฐมนตรีแต่ละคน ทำให้ ม.ล.ปนัดดา ได้เรียนรู้และซึมซับในความสามารถที่หลากหลายของรัฐมนตรีแต่ละคนได้เป็นอย่างดี หากแต่รัฐมนตรีที่จะอยู่ในดวงใจของ ม.ล.ปนัดดา ไปจนชั่วชีวิตก็คือ พล.อ.สิทธิ จิรโรจน์และปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้เป็นแบบอย่างของนักปกครองที่เห็นแก่ประโยชน์ของประชาชน และเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ในการทำงานให้เป็นอย่างดีคือ พิศาล มูลศาสตรสาทร
ม.ล.ปนัดดา เป็นข้าราชการที่บำเพ็ญตนให้เป็นแบบอย่างตามคำสอนของบรรพบุรุษ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ที่ว่า ข้าราชการไม่ใช่อภิสิทธิ์ชน หากแต่ต้องบำเพ็ญตนให้เป็นแบบอย่างแก่สังคม ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อ ม.ล.ปนัดดา ได้รับแต่งตั้งให้ไปดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ในขณะที่สถานการณ์บ้านเมืองมีความขัดแย้งสูง อีกทั้ง ม.ล.ปนัดดา ก็ถูกกล่าวหาโดยสื่อมวลชนว่าเป็นข้าราชการที่มีสังกัดพรรคการเมือง ซึ่งเป็นฝ่ายตรงข้ามกับมวลชนที่ประกาศตัวมีสีเสื้ออย่างชัดแจ้งใน จ.เชียงใหม่ ในขณะนั้น ถึงขนาดเมื่อ ม.ล.ปนัดดา เดินทางไปถึงก็ได้มีมวลชนจำนวนหนึ่งไปชุมนุมประท้วงที่หน้าศาลากลางจังหวัด ทำความหวาดวิตกให้แก่ข้าราชการทั้งหลายในจังหวัดเป็นอันมาก จึงได้แจ้งข่าวบอกมิให้ ม.ล.ปนัดดา เดินทางไปที่ศาลากลางจังหวัด แต่ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจที่บริสุทธิ์ ม.ล.ปนัดดา ก็ตัดสินใจเดินทางไปที่ศาลากลางจังหวัด เพื่อรับการต้อนรับของมวลชนโดยไม่หวั่นไหวและหวั่นเกรงต่อสิ่งใด พร้อมกับบอกประชาชนที่มาชุมนุมที่ศาลากลางเป็นจำนวนมากว่า
“ผมมารับใช้ท่าน ผมเป็นข้าราชการของประชาชน เป็นข้าราชการของในหลวง ถ้ามีอะไรไม่เข้าอกเข้าใจกัน เราคุยกันฉันญาติมิตรได้ทุกเรื่อง ผมไม่ใช่นักการเมือง ไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองอะไรทั้งสิ้น ผมเป็นข้าราชการประจำ ขอให้วันเวลาที่ผมจะได้อยู่ที่เชียงใหม่เป็นเครื่องพิสูจน์”
จะด้วยบุคลิกที่สุภาพนุ่มนวล มีความเป็นสุภาพบุรุษและจริงใจหรืออย่างไร มิอาจรู้ได้ แต่การแสดงออกต่อมวลชนของ ม.ล.ปนัดดา ในครั้งนั้นก่อให้เกิดความซาบซึ้งใจแก่มวลชนที่ตั้งใจจะมาประท้วง เพราะได้รับข้อมูลข่าวสารมาผิดๆ ก็ได้กลายสภาพเป็นมวลชนที่ให้การต้อนรับผู้ว่าราชการจังหวัดที่มาใหม่ด้วยไมตรีอย่างคาดไม่ถึง และจากนั้นมาม.ล.ปนัดดา ก็ปฏิบัติหน้าที่ข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและประชาชนที่ จ.เชียงใหม่ ได้อย่างราบรื่น จนกระทั่งวันที่ได้รับแต่งตั้งให้กลับมารับตำแหน่งรองปลัดกระทรวงมหาดไทย พี่น้องประชาชนชาวเชียงใหม่ที่มาส่งผู้ว่าราชการจังหวัดที่สนามบินได้เอ่ยถาม ม.ล.ปนัดดา ว่า “กลับไปเป็นรองปลัดกระทรวงดีกว่าเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ตรงไหน” ซึ่งแสดงให้เห็นความสำเร็จในการทำงานของ ม.ล.ปนัดดา ในฐานะเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่เป็นอย่างดี
ตลอดชีวิตการทำงาน ม.ล.ปนัดดา เป็นอีกบุคคลหนึ่งที่ได้รับรางวัลดีเด่นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการพลเรือนดีเด่น กระทรวงมหาดไทย ประจำปี 2532 หรือจะเป็นรางวัลศิษย์เก่าดีเด่น โรงเรียนสาธิตศรีนครินทรวิโรฒ (ประสานมิตร) รางวัล “คนดี ศรีสยาม” จากสหพันธ์รวมใจไทยทั้งชาติ แต่ที่ถือเป็นเกียรติประวัติสูงสุดก็คือ รางวัลพ่อตัวอย่างแห่งชาติประจำปี 2550 รางวัลเกียรติยศโล่เชิดชูเกียรติยกย่องให้เป็นผู้ประพฤติปฏิบัติตนชอบด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ประจำปี 2555 ของสำนักงาน ป.ป.ช. ฯลฯ
ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจรับราชการด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ขยันหมั่นเพียร มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ ม.ล.ปนัดดา จึงได้รับความไว้วางใจจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และให้ดำรงตำแหน่ง รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อีกตำแหน่งหนึ่งในปี 2557
เนื่องจาก ม.ล.ปนัดดา เป็นบุตรชายคนเดียวของ พล.ต.ม.ร.ว.สังขดิศ ดิศกุล ทายาทสายตรงของราชสกุลดิศกุล ผู้ได้รับมรดกตกทอดเป็นเจ้าของวังวรดิศของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ซึ่งที่ดินของวังวรดิศเดิมเป็นของเจ้าจอมมารดาชุ่ม เจ้าจอมมารดาของสมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ร.5 ได้พระราชทานที่ดินรอบๆ วังเพิ่มขึ้นอีกเป็นรางวัลในการที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงจัดการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาล และกระทรวงมหาดไทยสยามใหม่ได้เป็นผลสำเร็จ
ส่วนตัวตำนักนั้น สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงและพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ร.6 ได้พระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์เป็นค่าก่อสร้าง จึงกล่าวได้ว่า วังวรดิศแห่งนี้กำเนิดและดำรงอยู่มาถึงทุกวันนี้ได้ก็ด้วยพระบารมีของพระมหากษัตริย์ พระราชวงศ์ และองคเจ้าของวัง ที่ขาดไม่ได้ก็คือ ปณิธานอันแน่วแน่ในการอนุรักษ์วังบรรพบุรุษของทายาทในรุ่นหลัง
โดย พล.ต.ม.ร.ว.สังขดิศ ดิศกุล บิดาของ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล มีความประสงค์จะเปิดวังวรดิศให้เป็นพิพิธภัณฑ์ส่วนบุคคลให้ประชาชนทั่วไปเข้าชม เพราะเล็งเห็นว่าวังมีขนาดใหญ่เกินกว่าจะเหมาะแก่การดูแลรักษาเพื่ออยู่อาศัยเอง
และอีกประการหนึ่งก็คือ เพื่อที่จะรำลึกถึงพระคุณของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ องค์ต้นราชสกุลดิศกุล ว่าสิ่งซึ่งท่านได้ทรงบำเพ็ญไว้มากมายประทานไว้แก่ประเทศชาติในหลากหลายสาขา ก็น่าจะเปิดวังหรือบ้านของพระองค์ท่านแห่งนี้ให้เป็นพิพิธภัณฑ์ และอีกประการหนึ่งก็คือ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีได้เสด็จไปประทับที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ช่วงที่ พล.ต.ม.ร.ว.สังขดิศ ดำรงตำแหน่งเป็นเอกอัครราชทูต สมเด็จย่าได้ทรงมีรับสั่งกับ พล.ต.ม.ร.ว.สังขดิศ ว่า สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เป็นบุคคลที่ทั้งคนไทยและชาวต่างประเทศจะต้องศึกษารำลึกถึงพระองค์ท่านอีกช้านาน เพราะฉะนั้นหากจัดทำวังวรดิศเป็นพิพิธภัณฑ์เฉลิมพระเกียรติสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้สำเร็จ ก็จะเป็นสิ่งที่ลูกหลานจะต้องมีแต่ความภูมิใจ พล.ต.ม.ร.ว.สังขดิศ จึงรับพระราชกระแสมาจัดทำพิพิธภัณฑ์วังวรดิศจนเป็นผลสำเร็จเมื่อ พล.ต.ม.ร.ว.สังขดิศ ถึงแก่อนิจกรรมลง ม.ล.ปนัดดา ทายาทจึงรับมรดกพิพิธภัณฑ์วังวรดิศมาดูแลรักษาสืบมา
แม้ ม.ล.ปนัดดา จะได้ชื่อว่าเป็นทายาทโดยตรงผู้ได้รับมรดกวังวรดิศ ซึ่งมีราคาที่จะต้องแจ้งต่อ ป.ป.ช.เมื่อเข้าดำรงตำแหน่งทางการเมืองก็ตามแต่วังวรดิศแห่งนี้ได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ทรงคุณค่าสำหรับสังคมโดยส่วนรวมไปแล้ว มูลค่ามหาศาลของสถานที่สำคัญแห่งนี้ยังเป็นภาระที่ ม.ล.ปนัดดาและทายาทผู้สืบต่อจะต้องช่วยกันดูและรักษาเพื่อให้พิพิธภัณฑ์วังวรดิศ เป็นประโยชน์เพื่อการศึกษาของสังคมส่วนรวมอย่างมีคุณค่าและมีชีวิตต่อไป
พิพิธภัณฑ์วังวรดิศจึงไม่ได้ทรงคุณค่าเพียงตัวเงินนับพันล้าน สำหรับทายาทผู้เป็นเจ้าของเช่น ม.ล.ปนัดดา และผู้สืบทอดเท่านั้น หากแต่พิพิธภัณฑ์วังวรดิศยังทรงคุณค่ามหาศาลสำหรับการศึกษาเรียนรู้ของคนไทยและชาวต่างประเทศที่สนใจตลอดไปด้วย
ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล สมรสกับ อัมพร ดิศกุล ณ อยุธยา มีบุตรชายคนเดียว คือ วรดิศ ดิศกุล ณ อยุธยา


