ทวงคืนตำแหน่ง7ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโสธร
ฉะเชิงเทรา-อดีตโหรสว.แปดริ้วทวงคืนตำแหน่ง 7 ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวันโสธรหลังคัดค้านการตั้งเจ้าอาวาสรูปปัจจุบัน
ฉะเชิงเทรา-อดีตโหรสว.แปดริ้วทวงคืนตำแหน่ง 7 ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวันโสธรหลังคัดค้านการตั้งเจ้าอาวาสรูปปัจจุบัน
เมื่อวันที่ 30 ต.ค..นายบุญเลิศ ไพรินทร์ อดีตสว.ฉะเชิงเทรา และโหรชื่อดัง กล่าวว่า ได้เข้ายื่นหนังสือต่อ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เพื่อทวงคืนตำแหน่งให้แก่ 7 ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโสธรวรารามวรวิหาร แล้วเมื่อช่วงต้นเดือนต.ค.ที่ผ่านมา โดยทั้ง 7 ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโสธรได้เคยออกมาเคลื่อนไหว เพื่อคัดค้านคำสั่งการแต่งตั้งเจ้าอาวาสวัดโสธรฯมาจากที่อื่น คือ เจ้าคุณพระพิพิธกิจจาภิวัฒน์ (ประยงค์) เจ้าอาวาสวัดท่าสะอ้าน และเจ้าคณะอำเภอบางปะกง เมื่อครั้งปี 2552 ซึ่งปัจจุบัน คือ พระเทพสิทธิญาณรังษี เจ้าอาวาสวัดโสธรวรารามวรวิหาร และได้ถูกพระพรหมสุธี (เสนาะ ปัญญาวชิโร) เจ้าคณะภาค 12 ซึ่งเข้ามารักษาการณ์ในตำแหน่งเจ้าอาวาสในขณะนั้น ได้สั่งระงับการปฏิบัติหน้าที่มาเป็นเวลายาวนานหลายปีจนถึงปัจจุบัน โดยไม่ได้มีผลการสอบชี้ความผิดแต่อย่างใด
นายบุญเลิศ กล่าวว่า ในส่วนตัวเห็นการออกมาคัดค้านการแต่งตั้งเจ้าอาวาสที่มาจากคนนอกในขณะนั้น ก็เป็นความชอบธรรมของพระสงฆ์ในวัดที่มีสิทธิ์ที่จะออกมาคัดค้าน ไม่มีความผิด ขณะเดียวกัน 1 ใน 7 รูปของผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโสธรฯขณะนั้น ยังมีพระที่มีความเหมาะสมมากกว่า เจ้าอาวาสรูปใหม่ถูกแต่งตั้งเข้ามาในขณะนั้น เช่น เจ้าคุณพระปริยัติกิจวิธาน เจ้าคณะอำเภอเมืองฉะเชิงเทรา ซึ่งมีสถานะที่สูงกว่าเจ้าคณะอำเภอบางปะกง จึงควรที่จะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดโสธร แต่กลับไม่ได้รับการพิจารณาตามความเหมาะสม
ส่วนการยื่นเรื่องขอให้ตรวจสอบพระพรหมสุธี ว่าร่ำรวยผิดปกตินั้น เป็นที่ทราบกันดีว่า พระพรหมสุธีนั้นมีกิจการมากมาย ทั้งฟาร์มนก ฟาร์มไก่ และฟาร์มกล้วยไม้ โดยเฉพาะฟาร์มกล้วยไม้นั้น ได้สอบถามไปยังที่ฟาร์มแล้ว ซึ่งปรากฏว่าได้ส่งมาขายยังที่วัดโสธรด้วย เพราะฉะนั้นจึงเห็นได้ว่ามีผลประโยชน์เกื้อกูลกัน ขณะที่เข้ามารักษาการณ์ในตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดโสธร
สำหรับปัญหาของวัดโสธรในขณะนี้นั้น ระหว่างวัดและชาวบ้าน มองว่า ทั้งวัดและชาวบ้านควรที่จะได้หันหน้ามาพูดจาคุยกัน มากกว่าที่จะขัดแย้งกัน เพราะวัดก็ต้องพึ่งชาวบ้าน ชาวบ้านก็ต้องพึ่งวัด จึงต้องอยู่กันอย่างสันติวิธี และมีความสามัคคีกัน ไม่สามารถที่จะอยู่อย่างโดดเดี่ยวได้ จึงอยากเสนอให้ทั้งฝ่ายทางเจ้าอาวาสวัดโสธร และชาวบ้านควรจะหันหน้าเข้าหากัน พูดคุยกัน ตกลงกัน สิ่งไหนที่ผ่านมาอะไรที่แล้ว ก็ให้แล้วกันไป หากตกลงกันได้ก็ควรจะตกลงกัน และหากต่อไปจะทำอะไรก็ควรปรึกษาหารือกันก่อน จึงจะทำให้การอยู่ร่วมกันอย่างสันติวิธีนั้นมีความเป็นไปได้จริง
"ถ้าชาวบ้านพูดคุยกับทางเจ้าอาวาส หรือเจ้าอาวาสยอมเปิดโอกาสให้ชาวบ้านได้พูดคุยด้วย ก็จะทำให้เข้าใจกันได้ง่าย จึงคิดว่าหากมีการพูดคุยกันแล้วความขัดแย้งก็คงไม่เกิด แต่ที่ผ่านมานั้นกลับเป็นไปในลักษณะที่ต่างฝ่ายต่างคนต่างอยู่กัน ไม่ประสานกันจึงเกิดความขัดแย้งได้เพราะความเข้าใจไม่ตรงกัน"นายบุญเลิศ กล่าว


