posttoday

ปัญหาของเทสโก้

30 ตุลาคม 2557

ผมนั่งเขียนเรื่องนี้ในเทสโก้ โลตัสสาขาหนึ่ง เห็นรถจอดเต็มลานจอดรถอันกว้างใหญ่

ผมนั่งเขียนเรื่องนี้ในเทสโก้ โลตัสสาขาหนึ่ง เห็นรถจอดเต็มลานจอดรถอันกว้างใหญ่ เห็นคนในห้างเดินกันขวักไขว่ ทั้งที่มาเดินเล่น มาเลือกซื้อสินค้า และมารับประทานอาหาร เห็นแบบนี้แล้วนึกไม่ออกว่าบริษัทแม่จะมีปัญหาได้อย่างไร

แต่ท่านที่ติดตามข่าวต่างประเทศอาจทราบว่า เทสโก้สำนักงานใหญ่ในอังกฤษกำลังประสบปัญหาอย่างหนัก ราคาตลาดของเทสโก้ในรอบปีที่ผ่านมาหายไปกว่าครึ่ง และนักลงทุนแบบเน้นคุณค่าตัวพ่ออย่างวอร์เรน บัฟเฟตต์ยังต้องตัดใจทิ้งหุ้น โดยยอมขาดทุนกว่า 2 หมื่นล้านบาท พร้อมกับประกาศยอมรับว่าการลงทุนในหุ้นตัวนี้เป็นความผิดพลาดอันใหญ่หลวง

คนเดินถนนในอังกฤษส่วนใหญ่อาจรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตน อย่างมากก็คงเคยซื้อของแพงเกินไปเล็กน้อย แต่ในความเป็นจริงมีผลกระทบกว้างไกลกว่านั้น เพราะเทสโก้เป็นหุ้นใหญ่ เกือบทุกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพต้องถือหุ้นตัวนี้ นอกจากนี้รายได้ภาษีของรัฐบาลก็ลดลงด้วย เพราะเทสโก้เป็นผู้เสียภาษีรายใหญ่

มีประเด็นที่ผมอยากพูดถึงเทสโก้กับธุรกิจค้าปลีกโดยทั่วไป ดังนี้

หนึ่ง เรื่องบัญชี บัญชีของธุรกิจค้าปลีกสลับซับซ้อนกว่าบัญชีของร้านค้าทั่วไป กรณีที่เกิดกับเทสโก้คือ คณะกรรมการและฝ่ายจัดการออกมายอมรับว่า ตัวเลขกำไรครึ่งปีแรกที่ประกาศเมื่อเดือนก่อนสูงเกินจริง และต่อมาก็ประกาศตัวเลขปรับปรุงใหม่ที่ลดลงถึง 263 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 1.3 หมื่นล้านบาท

เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่กระทบความเชื่อมั่นของตลาด เพราะเทสโก้ถือเป็นบริษัทชั้นนำที่ไม่เคยมีปัญหาเรื่องภาพลักษณ์ของความไม่โปร่งใสมาก่อน

ผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์ว่า ตัวเลขกำไรที่เกินจริงมาจากการเร่งบันทึกเงินที่รับมาจากซัพพลายเออร์เป็นรายได้ โดยที่ยังไม่หักภาระหรือรายจ่ายที่จะเกิดขึ้นเสียก่อน เช่นซัพพลายเออร์ส่งเงินมาให้ในเดือน มิ.ย. เพื่อใช้โปรโมทสินค้าในไตรมาส 3 ก็บันทึกทั้งก้อนเป็นรายได้ในครึ่งปีแรก เป็นต้น

เดิมทีบริษัทพยายามทำให้เกิดภาพว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นความผิดพลาดครั้งเดียว ทั้งคณะกรรมการและผู้บริหารระดับสูงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องและเพิ่งทราบเรื่องเป็นครั้งแรกในวันที่ 19 ก.ย.ที่ผ่านมานี้เอง

แต่นักวิเคราะห์ที่คุ้นเคยกับเทสโก้ตั้งข้อสังเกตว่า น่าจะมีอะไรลึกลับซับซ้อนมากกว่านั้น เพราะรายงานที่มาถึงมือซีอีโอกับประธานกรรมการในวันดังกล่าวได้ผ่านการกลั่นกรองของสำนักกฎหมายมาแล้ว แทนการส่งตรงขึ้นมาจากฝ่ายงานที่เกี่ยวข้อง

การแต่งบัญชีเล็กๆ น้อยๆ เพื่อความสวยงามเป็นเรื่องที่ทำกันทั่วไปในหลายธุรกิจ แต่ส่วนใหญ่จะอยู่ในกรอบของกฎหมาย เพราะผู้ที่รับผิดชอบไม่อยากเสี่ยงกับการถูกดำเนินคดี

การแต่งบัญชีในเทสโก้ก็อาจมีมาหลายปีแล้วเช่นกัน โดยเป็นการบันทึกรายได้เร็วและรายจ่ายช้า เพื่อให้ดูมีกำไรมากขึ้น ซึ่งในช่วงที่ธุรกิจกำลังเติบโตก็ไม่มีปัญหา เพราะกำไรที่สูงขึ้นในงวดต่อไปจะช่วยกลบเกลื่อนร่องรอยให้

แต่ธุรกิจของเทสโก้ไม่ได้เป็นไปตามแผนมาอย่างน้อย 3-4 ปีแล้ว ทำให้ยิ่งนับวันยิ่งมีแรงกดดันให้แสดงผลกำไรมากขึ้น เล่าขานกันว่า ก่อนจะปิดงวดครึ่งปีแต่ละครั้ง ผู้รับผิดชอบสายงานธุรกิจจะต่อโทรศัพท์กันให้วุ่น...ช่วยหารายได้ให้สัก 30 ล้านปอนด์ได้ไหม?

แรงกดดันส่วนใหญ่ถูกผ่านไปให้ซัพพลายเออร์ เพราะกลุ่มนี้ต้องการรักษาสายสัมพันธ์และพื้นที่วางสินค้าให้แน่นแฟ้น กลายเป็นเรื่องน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า ทั้งสองฝ่ายเป็นเสมือนคู่สมรสที่ต้องพยายามปรับตัวเข้าหากัน

อาจมีผู้บริหารที่รู้สึกอึดอัดกับเรื่องแบบนี้จนอยู่ไม่ได้ ทำให้ระยะหลังมีการลาออกและต้องหาคนมาแทนบ่อยครั้ง แม้แต่ตำแหน่งซีอีโอกับซีเอฟโอคนปัจจุบันก็อยู่มาไม่ถึงปีด้วยกันทั้งคู่

คนใหม่เข้ามา เมื่อระแคะระคายปัญหา ก็อาจต้องหาทางป้องกันตัวเองไม่ให้พลอยติดร่างแหไปด้วย เช่นซีอีโอคนปัจจุบันได้ส่งหนังสือเวียนขอให้ทุกฝ่ายระมัดระวังในเรื่องความโปร่งใส ในที่สุดก็มีคนทำบัญชีที่โวยวายว่า เอกสารประกอบการลงบัญชีไม่ครบถ้วนสมบูรณ์

พร้อมกับการประกาศตัวเลขปรับปรุงใหม่ ประธานกรรมการได้แสดงความรับผิดชอบโดยประกาศจะลาออกเมื่อเหตุการณ์สงบ

สอง ปัญหาธุรกิจ โดยทั่วไปผู้ที่ซื้อหุ้นบริษัทค้าปลีกในราคาที่สูงลิ่ว หรือที่พี/อีหลายสิบเท่า มักจะเกิดจากความเชื่อมั่นว่า เมื่อธุรกิจประสบความสำเร็จถึงจุดหนึ่ง หรืออาจกล่าวว่าผ่านด่านอรหันต์ไปได้แล้ว ก็จะสามารถแผ่กิ่งก้านสาขาเหมือนไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ไปได้โดยแทบจะไม่มีที่สิ้นสุด ยอดขายจะสูงขึ้น กำไรจะสูงเร็วยิ่งกว่า เพราะค่าใช้จ่ายคงที่เฉลี่ยต่อสาขาจะลดลง ตลอดจนอำนาจต่อรองกับซัพพลายเออร์จะมีมากขึ้น

ในกรณีของเทสโก้ มีปัจจัยหลักที่มีผลกระทบทางธุรกิจอยู่ 2 ประการ คือ ประการแรก มีคู่แข่งจากต่างประเทศที่เชี่ยวชาญเรื่องสินค้าราคาถูกเข้ามาในตลาด เช่น กลุ่มอัลดีจากเยอรมนี ซึ่งผมสามารถยืนยันจากประสบการณ์ส่วนตัวระหว่างเดินทางอยู่ในเยอรมนีเมื่อ 2-3 ปีก่อนว่าราคาของเขาถูกจริง

ประการต่อมา ซีอีโอคนเก่าในยุคที่เทสโก้เติบโตอย่างรวดเร็วได้ลาออกไปเมื่อ 6-7 ปีก่อน ซีอีโอคนต่อมาเปลี่ยนนโยบายธุรกิจ เลิกเน้นการขยายสาขา หันมาใช้นโยบายทำธุรกิจครบวงจร เช่น มีร้านกาแฟและร้านอาหารในห้าง เริ่มธุรกิจออนไลน์ รวมทั้งหันมาผลิตแท็บเล็ตของตัวเองออกวางขาย

ผลที่ตามมา คือ เทสโก้สูญเสียความเป็นผู้นำเรื่องราคาถูกที่สุดให้กับคู่แข่งอีกรายหนึ่ง ทำให้จำนวนลูกค้ากับส่วนแบ่งตลาดล่องลอยตามชื่อเสียงไปด้วย

ทีมเดิมที่เคยสร้างเทสโก้ให้แข็งแกร่งได้ทยอยลาออกไปจนเกือบหมด เกิดเป็นช่องโหว่และจุดอ่อนในทีมบริหารที่ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

สาม เรื่องของวอร์เรน บัฟเฟตต์ มีคนถามผมว่า เป็นไปได้อย่างไรที่กูรูอย่างบัฟเฟตต์จะลงทุนผิดพลาดขนาดนี้

ปรากฏว่า ใน 12 เดือนที่ผ่านมา เทสโก้ไม่ใช่หุ้นตัวเดียวที่บัฟเฟตต์ขาดทุนหนัก แต่มีหุ้นในตลาดสหรัฐที่บัฟเฟตต์ขาดทุนมากกว่าเทสโก้เสียอีก

สองวันแรกของสัปดาห์ที่แล้ว บัฟเฟตต์ขาดทุนหุ้นโคคาโคลากับหุ้นไอบีเอ็มตัวละประมาณ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 3.2 หมื่นล้านบาท โคคาโคลาเพราะไตรมาส 3 กำไรลดลง 14% ส่วนไอบีเอ็ม ผู้บริหารออกมายอมรับว่าธุรกิจไม่เป็นไปตามโรดแมปที่วางไว้ เพราะตลาดหันไปนิยมระบบคลาวด์ที่ไอบีเอ็มยังขาดความเชี่ยวชาญ ระบบนี้เป็นระบบที่ สตีฟ จ็อบส์ ผู้ล่วงลับเป็นคนริเริ่ม

ในอดีต บัฟเฟตต์เคยประกาศว่าจะไม่ลงทุนหุ้นไอที เพราะคาดเดาลำบากว่าอนาคตของแต่ละบริษัทจะเป็นอย่างไร ประกอบกับตัวบัฟเฟตต์เองมีความรู้เรื่องไอทีน้อยกว่าคนอื่น แต่เมื่อ 3 ปีก่อนเขาก็แหกกฎที่ตัวเองตั้งไว้โดยการเข้าไปซื้อหุ้นไอบีเอ็ม

อย่างไรก็ตาม เข้าใจว่าเทสโก้เป็นตัวเดียวที่บัฟเฟตต์รีบตัดสินใจขายทิ้ง หากถามว่าทำไม ก็คงได้คำตอบว่า ถ้าบัญชียังเชื่อถือไม่ได้ จะมีอะไรให้เชื่อถือหลงเหลืออยู่อีก

เชื่อว่าปัญหาของเทสโก้จะไม่จบลงง่ายๆ อีกไม่นานจะมีเรื่องขุดคุ้ยและเปิดโปงตามมาเป็นพรวน

ข่าวล่าสุด

พลังงานคุมเข้มแท่นขุดเจาะอ่าวไทย สกัดโดรนป่วน ไม่กระทบการผลิต