วิตก 9
การที่เราทั้งหลายผู้เป็นปุถุชนยังต้องเวียนว่ายตายเกิด ไปไม่พ้นจากกิเลสและวัฏฏะนั้น ก็ด้วยว่ายังมี ปปัญจธรรม
การที่เราทั้งหลายผู้เป็นปุถุชนยังต้องเวียนว่ายตายเกิด ไปไม่พ้นจากกิเลสและวัฏฏะนั้น ก็ด้วยว่ายังมี ปปัญจธรรม คือ เครื่องเนิ่นช้า 3 อย่าง ได้แก่ ตัณหา มานะ และ ทิฏฐิ นั้นท่านกล่าวไว้ว่า มี เวทนา สัญญา และวิตก เป็นแดนเกิด ก็วิตกเหล่านั้น คือ วิตก 9 อย่าง แบ่งเป็น 3 หมวด หมวดละ 3 ซึ่งนับว่าการละวิตกนั้น เป็นการทำให้สงบราบคาบภายในใจ เพราะวิตก คือ การที่จิตนั้นยกขึ้นสู่อารมณ์เหล่านี้ เมื่อคิดถึงอารมณ์เหล่านี้ ก็ก่อให้เกิด อกุศลในตระกูลโลภะ คือ ปปัญจธรรม ได้นั่นเอง วิตก 9 ประการ คือ
วิตก 3 อย่าง (ที่ 1)
กามวิตก หมายถึง ความดำริในทางกาม
พยาบาทวิตก หมายถึง ความดำริในการปองร้าย
วิหิงสาวิตก หมายถึง ความดำริในการเบียดเบียนวิตก 3 อย่าง (ที่ 2)
ญาติวิตก หมายถึง การคิดกังวลถึงญาติ
ชนปทวิตก หมายถึง การคิดกังวลถึงชนบท
อมรวิตก หมายถึง การคิดกังวลถึงความไม่ตายวิตก 3 อย่าง (ที่ 3)
ปรานุททยตาปฏิสังยุตตวิตก หมายถึง ความคิดกังวลที่ประกอบด้วยความเป็นผู้เอ็นดูผู้อื่น
ลาภสักการสิโลกวิตก หมายถึง ความคิดกังวลถึงลาภสักการะและชื่อเสียง
อนวัญญัตติปฏิสังยุตตวิตก หมายถึง ความคิดกังวลที่ประกอบด้วยการไม่ดูหมิ่น
เนื่องจากวิตก คือ การดำริถึง การเอาจิตไปคิดกังวลถึงนั้น มีได้หลายเรื่อง ทั้งการคิดคำนึงถึงเรื่องที่เป็นกิเลสตรงๆ เช่น วิตก 3 อย่างแรก ซึ่งเห็นได้ชัด คือ การดำริในกามคุณ 5 (รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส) เรื่องความรักใคร่ พอใจ อยากได้ การคิดโกรธ พยาบาท ปองร้าย อาฆาต และการคิดเบียดเบียนกลั่นแกล้ง กระทำอันตรายต่อผู้อื่น ที่เราไม่ชอบหรือที่เป็นศัตรูกัน เป็นต้น
เรื่องต่างๆ ที่จะวิตกคือตรึกถึงนั้น ยังมีความละเอียดขึ้นอีก เช่น การคิดกังวล ถึงญาติพี่น้อง ถึงสถานที่ บ้านเรือนหรืออาณาบริเวณที่เป็นของเราในการปกครอง ของเรา และความกังวลว่าเราจะเป็นอย่างไรต่อไปในชีวิต จะอยู่ต่อไปอย่างไร ถ้าเราเจ็บเราแก่เฒ่า จะเป็นอย่างไร เป็นต้น
นอกจากนั้นยังมีวิตกในเรื่องที่ละเอียดขึ้นอีก 3 ประการ ที่เราอาจไม่ค่อยได้ยินชื่อ และเป็นความคิดกังวลที่ดูเหมือนจะดีด้วยซ้ำ แต่ความจริงแล้วก็ทำให้เกิดความผูกพันต่อเนื่องเนิ่นช้า เกิดโลภะ ทิฏฐิ มานะได้อีก เช่น ความคิดกังวลด้วยความเป็นผู้เอ็นดูผู้อื่น ด้วยความสงสารบ้าง เมตตาบ้าง ปรารถนาดีบ้าง ความตรึกนึกกังวลถึงลาภสักการะและชื่อเสียง และความวิตกที่ประกอบด้วยการไม่ดูหมิ่น เช่น ไม่อยากให้ผู้อื่นเสื่อมเสีย ไม่อยากให้เขาเสียประโยชน์หรือเสียชื่อเสียง เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ ถ้าไม่พิจารณาให้ดี ปปัญจธรรม ก็จะคืบคลานเข้ามาโดยไม่รู้ตัว แล้วก็เกาะติดแน่นได้เช่นกัน
ดังนั้นผู้ที่ยังมีจิตเกี่ยวข้องด้วยความรัก ความชัง ด้วยญาติ ด้วยทรัพย์สิน ด้วยความเอ็นดูห่วงใยผู้อื่น ด้วยชื่อเสียงเกียรติยศ เป็นต้น ก็ยังยากที่จะขัดเกลากิเลสให้หมดจดได้ ต้องถึงระดับพระอริยบุคคลจึงจะค่อยๆวางได้ ซึ่งวิตกเหล่านี้
ท่านเปรียบเหมือนบุคคล “แล่นเลยไปบ้าง” กับ “ล่าช้าไปบ้าง”
ที่ว่า “แล่นเลยไป” นั้นหมายถึง เมื่อผู้นั้นตกอยู่ในความฟุ้งซ่านในอารมณ์ต่างๆ ด้วยอุทธธัจจะ ประกอบด้วยความเพียรพยายามจัด ชื่อว่า แล่นเลยไป บางทีก็เคร่งจนทำตนให้ลำบาก บางคนก็เศร้าโศกถึงอดีต เรียกว่า แล่นเลยไป ผู้มีความเห็นว่าเที่ยง (สัสสตทิฏฐิ) ก็เรียกว่า แล่นเลยไป
ส่วนที่ว่า “ล่าช้าไป” นั้นหมายถึง เมื่อผู้นั้นตกไปในความขี้เกียจ เรียกว่า โกสัชชะ คือ มีความเพียรที่ย่อหย่อน ย่อมล้าอยู่ ผู้ที่กำลังมัวประกอบตนเพลิดเพลินอยู่ในกามสุขอยู่ด้วยกามตัณหา เรียกว่า ล่าช้าไป บางคนมัวเพ้อหวังอนาคต ก็เรียกไว้ว่า ย่อมล้า คือ ล่าช้าอยู่ ผู้มีความเห็นว่า ขาดสูญ (อุทเฉททิฏฐิ) ก็เรียกว่า ล่าช้าไป
ผู้ใดเว้นที่สุด 2 อย่างนี้ได้แล้ว ปฏิบัติตามมัชฌิมาปฏิปทาอยู่ คือทางสายกลาง เรียกว่า ไม่แล่นเลยและไม่ล้าอยู่ คือ ผู้ที่ก้าวล่วงด้วยดี ข้ามพ้นซึ่งความเนิ่นช้า 3 ประการ คือ ตัณหา มานะ และทิฏฐิ อันมี เวทนา สัญญา และวิตก เป็นแดนเกิดทั้งปวงเสียได้ ด้วยมัชฌิมาปฏิปทา อันมีอรหัตมรรคเป็นที่สุด
ดังนั้นเมื่อทราบเช่นนี้แล้ว เมื่อเกิดวิตกเหล่านี้ ควรตระหนักและปรับเปลี่ยน อย่าให้เป็นผู้แล่นเลยไป หรือล่าช้าไป ควรพิจารณาละวิตกอันเป็นอกุศล และระมัดระวังวิตกที่สามารถเป็นที่มาของอกุศลเสีย อย่าให้ครอบงำจิตใจมากนัก บ่อยนัก นานนัก พยายามปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน กระทำบุญกุศล คอยเตือนตนเอง เดินทางตามสายกลาง คือ มรรคมีองค์ 8 อย่ามัวหมกมุ่นครุ่นคิดในเรื่องราวเหล่านี้ให้มากจนเกินไป ...


