เหวี่ยงแหตรวจDNAความคุ้มค่าราคาที่ต้องจ่าย
"ราคาที่ต้องจ่าย" สำหรับการเหวี่ยงแหตรวจดีเอ็นเอ ทั้งที่ไม่มีหลักประกันว่าจะหาตัวคนร้ายได้หรือไม่
โดย...ทีมข่าวในประเทศโพสต์ทูเดย์
สมมติฐานเปลี่ยนแปลงเป็นรายวัน แม้จะล่วงเลยมาแล้วกว่า 1 สัปดาห์ ทว่าความชัดเจนในการสืบสวนสอบสวนคดีฆาตกรรมสองนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ บนเกาะเต่า จ.สุราษฎร์ธานี กลับยังไม่ปรากฏ
ภายหลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีประกาศิตต้องจับคนร้ายให้ได้ จากนั้นสรรพกำลัง-ทรัพยากร ก็ถูกระดมไปยังเกาะเต่าชนิดมืดฟ้ามัวดิน ไม่ว่าจะเป็นการส่ง ตำรวจ 70 นายลงพื้นที่ด่วน ตามมาด้วยการเตรียมประสานขอความช่วยเหลือจากสำนักงานสอบสวนกลาง สหรัฐอเมริกา (เอฟบีไอ) ก่อนจะส่งตำรวจจากส่วนกลางมาทำคดีอีก 100 คน ล่าสุดเมื่อวันที่ 23 ก.ย.ที่ผ่านมา ได้ส่งนักสืบผู้ชำนาญการจากส่วนกลางอีก 200 คน
ทั้งหมดมีหมุดหมายเดียวคือหาตัวฆาตกร
ตลอด 10 วันที่ผ่านมา (ตั้งแต่วันที่ 14 ก.ย. ดูเหมือนว่า "ดีเอ็นเอ" จะเป็นกุญแจดอกเดียวที่เจ้าหน้าที่ตำรวจหมายมั่นว่าจะช่วยไขไปสู่โฉมหน้าฆาตกร
ความคืบหน้าคดีเกาะเต่าจึงหมุนรอบ "ดีเอ็นเอ" มาโดยตลอด เริ่มตั้งแต่การตรวจผู้ต้องสงสัยชาวต่างด้าวจำนวน 6 ราย จากนั้นก็ขยายผลต่อไปยังชาวต่างชาติเพื่อนของผู้ตายอีก 1 ราย และตรวจชาวต่างด้าวเพิ่มอีก 6 ราย ก่อนที่ศูนย์ตรวจพิสูจน์หลักฐานภาค 8 จะสุ่มตรวจผู้ต้องสงสัยอีก 30 ราย เรื่อยมาจนตรวจเพิ่มลูกเรือสปีดโบ๊ตอีก 1 ราย
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจยังขีดรัศมีจำกัดจากจุดเกิดเหตุ 500 เมตร โดยนำชายไทยและชาวต่างชาติกว่า 100 ราย เข้าตรวจดีเอ็นเอโดยไม่มีการยกเว้นใครทั้งสิ้น
มีรายงานอีกว่า มีความเป็นไปได้ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะตรวจดีเอ็นเอ "ครั้งใหญ่" โดยจะตรวจเฉพาะผู้ชายทุกคนบนเกาะเต่า รวมทั้งจะเรียกตัวผู้ชายทุกคนที่เดินทางเข้า-ออกหลังช่วงเกิดเหตุ
อย่างไรก็ดี จนถึงวินาทีนี้ผลการตรวจดีเอ็นเอทั้งหมดในข้างต้น "ไม่ตรง" กับดีเอ็นเอที่พบในสถานที่เกิดเหตุ นั่นหมายความว่าตำรวจยังคง "คว้าน้ำเหลว"
"โพสต์ทูเดย์" ตั้งข้อสังเกตถึง "ราคาที่ต้องจ่าย" สำหรับการเหวี่ยงแหตรวจดีเอ็นเอ ทั้งที่ไม่มีหลักประกันว่าจะหาตัวคนร้ายได้หรือไม่
พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม ประเมินว่า การตรวจดีเอ็นเอบุคคลแต่ละครั้งจะมีต้นทุนอยู่ที่รายละ 5,000 บาท ส่วนตรวจวัตถุพยานจะอยู่ที่ชิ้นละ 8,000 บาท
ถ้าเป็นไปตามเกณฑ์ที่คุณหมอพรทิพย์ระบุ ประกอบกับข้อมูลพื้นฐานของเกาะเต่า ซึ่งพบว่ามีขนาดเพียง 21 ตารางกิโลเมตร มีประชากร 1,723 คน แต่มีประชากรแฝงมากถึง 1 หมื่นคน
หากเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องการตรวจดีเอ็นเอคนบนเกาะเต่าทั้งหมด เฉพาะประชากรตามทะเบียนบ้าน (1,723 คน x 5,000 บาท) จะต้องเสียงบประมาณแตะ 10 ล้านบาท แต่หากต้องการตรวจประชากรแฝงด้วย (1 หมื่นคน x 5,000 บาท) อาจต้องใช้งบประมาณสูงถึง 50 ล้านบาท
"กฎหมายไทยทุกวันนี้ไม่เอื้อให้ตรวจดีเอ็นเอ จะไปบอกว่าเป็นผู้ต้องสงสัยแล้วบังคับมาตรวจดีเอ็นเอคงไม่ได้ ถือเป็นการละเมิด" คุณหมอพรทิพย์ ระบุถึงข้อจำกัดการสืบสวนสอบสวน "เราน่าจะกลับมาทบทวนในช่องโหว่ของคดี เพราะดีเอ็นเอเป็นส่วนหนึ่งในการพิสูจน์คน แต่ไม่ได้พิสูจน์การกระทำ" ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติวิทยาศาสตร์ กล่าวชัด
ขณะที่ นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ บอกว่า ตำรวจจำเป็นต้องมีข้อบ่งชี้ที่ชัดเจนก่อนว่าบุคคลที่จะถูกตรวจดีเอ็นเอเกี่ยวข้องกับคดีการฆาตกรรมอย่างไร เพราะการตรวจดีเอ็นเอแม้จะเป็นไปตามกระบวนการนิติวิทยาศาสตร์และสามารถทำได้หากมีเหตุผลพอ แต่แง่หนึ่งก็เป็นการละเมิดสิทธิผู้อื่น
"การตรวจทั้งเกาะคงเป็นไปไม่ได้ เพราะสิ้นเปลืองและไม่น่าจะถูกต้อง" นพ.นิรันดร์ ระบุ
ก่อนหน้านี้สื่อเมืองผู้ดีอย่าง "เทเลกราฟ" รายงานว่า ตำรวจประเทศไทยถูกตำหนิว่าใช้ความอคติชี้นำการสอบสวนมากกว่าจะพิจารณาจากพยานหลักฐาน ซึ่งทำให้ตำรวจเพ่งเล็งคนงานต่างด้าวมากกว่าชาวไทย และด่วนสรุปว่าแรงงานเหล่านี้เป็นผู้ต้องสงสัย
โลกกำลังจับตาความคืบหน้าคดี เพราะทุกวินาที ที่ล่วงผ่านนำมาซึ่งความไม่เชื่อมั่นและทำลายภาพลักษณ์ประเทศไทย


