posttoday

ศูนย์ดำรงธรรมฟื้นราชการ-อำนาจผู้ว่าฯ

10 กันยายน 2557

คสช.อยากให้ประชาชนได้รับบริการที่ดีขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น ถ้ามาศูนย์ดำรงธรรมแล้ว สามารถจบได้ในศูนย์เดียว

โดย...เจษฎา จี้สละ

แนวทางบริหารประเทศยุค พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับมาฟื้น ระบบราชการ เป็นตัวนำ

“ศูนย์ดำรงธรรม” ได้กลายเป็นพระเอก หรือเครื่องมือหลักให้กับรัฐบาลชุดนี้ เมื่อมีการปรับบทบาทใหม่ เพิ่มอำนาจให้กับศูนย์แห่งนี้ทั้งส่วนกลางและต่างจังหวัด

คำสั่ง คสช. ฉบับที่ 96/2557 ออกประกาศ กำหนดอำนาจหน้าที่ของศูนย์ดังกล่าวเพิ่มขึ้น จัดตั้งศูนย์ทั้งในส่วนกลางและระดับจังหวัด ขึ้นตรงกับกระทรวงมหาดไทย ประสิทธิภาพการบริหารงานระดับจังหวัดและการปฏิบัติงานของส่วนราชการ โดยต้องบริการประชาชน ให้มีคุณภาพ รวดเร็ว ลดขั้นตอนในการปฏิบัติงาน รวมถึงรับเรื่องร้องเรียนจากประชาชน และการปฏิรูป

ล่าสุด กระทรวงมหาดไทยจัดประชุมผู้บริหารของกระทรวงและผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อขับเคลื่อนนโยบายของ คสช. โดยเหล่าผู้ว่าฯ ต่างเรียกร้องให้มีการเพิ่มอำนาจให้กับศูนย์ดำรงธรรม กลายเป็น ศูนย์ที่สั่งการเบ็ดเสร็จ หลังจากเปิดใช้มาตั้งแต่ปี 2537 แต่ค่อยๆ หมดบทบาทลงเมื่อรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้งใช้ศูนย์บริการประชาชนที่ทำเนียบรัฐบาลและ สส.

อภิชาติ โตดิลกเวชช์ ผวจ.แพร่ เป็นตัวแทนภาคเหนือ กล่าวว่า ผู้ว่าฯ ภาคเหนือมีความเห็นร่วมกันว่า ประกาศ คสช.ฉบับนี้ต้องการให้ผู้ว่าฯ มีอำนาจเพิ่มขึ้น ต้องการให้ศูนย์ดำรงธรรมเป็นศูนย์สั่งการเบ็ดเสร็จเพื่อแก้ปัญหาในพื้นที่ โดยเฉพาะการแก้ปัญหาม็อบพืชผลการเกษตรให้จำกัดอยู่เฉพาะพื้นที่นั้นๆ

นอกจากนั้น ในการจัดโครงสร้างการบริหาร ควรมีการแบ่งลักษณะงานเป็น 2 ประเภท คือ งานปกติ ได้แก่ การรับเรื่องราวร้องทุกข์ การให้คำปรึกษา บริการข้อมูล ควรมีบอร์ดบริหารและกำหนดเป็นคณะทำงาน 4 กลุ่ม อีกประเภทหนึ่งคือ งานกรณีพิเศษ ขึ้นอยู่กับบอร์ดบริหารพิจารณาเป็นกรณี เช่น น้ำท่วม ภัยพิบัติ ยาเสพติด เป็นต้น นอกจากนี้ศูนย์ดำรงธรรมควรลงลึกถึงอำเภอและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และมีชุดปฏิบัติการเคลื่อนที่เร็วเพื่อแก้ปัญหาเร่งด่วน

บวรศักดิ์ วานิช ผู้อำนวยการสำนักตรวจราชการและเรื่องราวร้องทุกข์ กระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า แต่ละจังหวัดได้จัดตั้งศูนย์ดำรงธรรมในมิติใหม่ตาม|นโยบายของ คสช.เรียบร้อยแล้ว และยังจัดตั้งศูนย์ในส่วนอำเภอ เพื่อการแก้ไขปัญหาในเชิงรุก เน้นการมีส่วนร่วมของคนในพื้นที่ให้มากที่สุด ลักษณะงานที่ปฏิบัติจนเป็นรูปธรรมแล้ว คือ One Stop Service

ทั้งนี้ จากสถิติการปฏิบัติงาน พบว่าเกิน 70% ของการร้องเรียนได้รับการแก้ไขภายใต้การดำเนินการของจังหวัด แต่หากเป็นเรื่องที่อยู่เหนืออำนาจของจังหวัด จะถูกส่งเรื่องขึ้นมาตามลำดับการปกครอง

“นับตั้งแต่มีประกาศของ คสช.จนขณะนี้ มีวาระที่เกิดขึ้นในกระบวนการกว่า 1 แสนรายการ ส่วนเรื่องที่เป็นประเด็นปัญหามากที่สุด อาทิ เรื่องราคายางพารา เนื่องจากจังหวัดไม่มีอำนาจในการตัดสินใจทั้งหมด จึงต้องส่งเรื่องมายังส่วนกลางโดยตรง”บวรศักดิ์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม อุปสรรคที่พบในช่วงแรกคือ ความเข้าใจของประชาชนและเจ้าหน้าที่ต่อศูนย์ดำรงธรรม เพราะเดิมเป็นเพียงหน่วยงานที่รับเรื่องร้องทุกข์ อยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงมหาดไทย แต่หลังจากมีประกาศของ คสช. เท่ากับว่าส่วนจังหวัดกลายเป็นหัวเรือใหญ่ในการขับเคลื่อนศูนย์ดำรงธรรมในแต่ละพื้นที่ เพราะสามารถสั่งการให้หน่วยงานข้าราชการภายใต้สังกัดดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างทันท่วงที

“จริงๆ มีการปฏิบัติงานในลักษณะนี้อยู่แล้ว แต่แยกส่วนงานกันทำ ทำให้การดำเนินงานไม่เป็นองค์รวม คสช.อยากให้ประชาชนได้รับบริการที่ดีขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะถ้ามาศูนย์ดำรงธรรมแล้ว สามารถจบได้ในศูนย์เดียว”

เดชรัฐ สิมศิริ ผวจ.ยะลา กล่าวว่า งบประมาณยังคงเป็นปัญหาในช่วงแรก แต่ก็ต้องทำ ไม่อย่างนั้นไม่ได้เริ่ม ซึ่งทราบว่ากระทรวงมหาดไทยกำลังหางบประมาณอยู่ ส่วนจังหวัดก็ใช้งบที่เหลือจากส่วนอื่นในการขับเคลื่อน

วินัย บัวประดิษฐ์ ผวจ.พัทลุง กล่าวว่า มีการวางนโยบายเชิงรุกให้กับศูนย์ โดยเตรียมจัดตั้งคณะทำงานที่จะเข้าไปศึกษาปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่ รวมถึงวางยุทธศาสตร์ป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายล่วงหน้า โดยเฉพาะปัญหาราคาพืชผลทางการเกษตรและปัญหาน้ำท่วม เพราะเป็นปัญหาที่เผชิญอยู่ซ้ำซาก หากสามารถใช้กลไกการประสานหน่วยงานราชการที่มีอยู่ตอนนี้อย่างเป็นองค์รวม จะแก้ไขปัญหาได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ข่าวล่าสุด

CardX มอบเงินบริจาคห้าแสนบาทแก่สภากาชาดไทยเพื่อเร่งฟื้นฟูเยียวยาและช่วยเหลือพี่น้องผู้ประสบอุทกภัย