ตามรอยกรมพระยาดำรงฯ
.ล.ปนัดดา หรือคุณเหลน เป็นบุตรของ พล.ต.ม.ร.ว.สังขดิศ ดิศกุล อดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงกัวลาลัมเปอร์
ม.ล.ปนัดดา หรือคุณเหลน เป็นบุตรของ พล.ต.ม.ร.ว.สังขดิศ ดิศกุล อดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย และเป็นพระปนัดดา (เหลน) ผู้สืบสายราชสกุลดิศกุลมาจาก ม.จ.จุลดิศ ดิศกุล พระโอรสองค์ใหญ่ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ พระโอรสในรัชกาลที่ 4
จึงไม่แปลกที่จุดยืนของ ม.ล.ปนัดดา ตระหนักถึงความจงรักภักดีต่อสถาบัน และยึดหลักการทำงานความเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
หลังจากที่ ม.ล.ปนัดดา เข้ารับหน้าที่ในตำแหน่งสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งทางข้าราชการประจำหรือตำแหน่งทางการเมือง ถือว่าเป็นภาระที่หนักอึ้งพอสมควร เพราะด้วยกรอบระยะเวลาอันจำกัดกับการพิสูจน์ฝีมือการทำงานและการที่จะปฏิรูปประเทศให้เป็นประเทศที่พร้อมก้าวสู่อาเซียนอย่างสง่างาม ถือว่ายากอยู่ไม่น้อย
แต่ต่อให้งานจะหนักหรือจะยากแค่ไหน หากมียาวิเศษจากครอบครัว ความยากลำบากต่างๆ คงทุเลาเบาบางไปไม่มากก็น้อย
ม.ล.ปนัดดา เล่าถึงยาวิเศษด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มว่า โชคดีที่ครอบครัวคุณอัมพร ดิศกุล ณ อยุธยา ภรรยาที่รักและมีลูกชายคนเดียว วรดิศ ดิศกุล ณ อยุธยา หรือ น้องโหลน ที่คอยเป็นกำลังใจให้อย่างมาก
“ครอบครัวของเรามองและมีความคิดที่เหมือนกัน คือ เรารักชาติบ้านเมือง เรารักในหลวงสุดชีวิต (หม่อมเหลนหยุดนิ่งสักครู่ใหญ่เพื่อกลั้นน้ำตา) และเล่าต่อไปด้วยเสียงสั่นเครือว่า ครอบครัวเราพูดเสมอว่า อะไรที่ทำงานแล้วจะเกิดเป็นคุณูปการต่อประเทศชาติ ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ให้เราทำงานอย่างมุ่งมั่นขวนขวาย”
แต่ยาวิเศษที่เป็นอีกหนึ่งความภูมิใจมาก ม.ล.ปนัดดา บอกว่า นั่นก็คือ น้องโหลน ตอนนี้เขาเรียนหนังสืออยู่ปีสุดท้ายที่มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ คณะธุรกิจภาษาอังกฤษ ก่อนหน้านี้เรียนจบจากโรงเรียนนานาชาติ น้องโหลนมีพรสวรรค์ในการเรียนมาก มีคะแนนเป็นที่น่าพึงพอใจ เท่าที่ทราบเขาเชื่อฟังครูดี พี่ฟังแค่นี้ก็มีความสุขแล้ว
หม่อมเหลน ยังเล่าถึงการวางแผนเลี้ยงลูกว่า หลายคนสงสัยทำไมถึงไม่ให้ลูกเข้าเรียนโรงเรียนของรัฐ แต่ส่งเสริมเข้าเรียนโรงเรียนนานาชาติ
“เป็นไปตามแผนของคุณปู่ เพราะก่อนที่คุณพ่อหรือคุณปู่จะจากไปได้วางแผนไว้ว่าอยากให้หลานเก่งเรื่องภาษา เล่นกีฬาให้มีเพื่อนที่ดี อย่าไปคบเพื่อนที่อวดร่ำอวดรวย ขี้โม้คุยโว ท่านไม่ได้บอกว่าไม่ให้คบ แต่ท่านใช้คำว่าให้ถอยตัวออกห่าง คุณพ่อจะใช้คำพูดว่าเราอาจจะไม่ดีพอที่เราจะไปคบกับคนเหล่านั้น เราเจียมเนื้อเจียมตัว เป็นคำพูดที่พ่อสอนพี่ด้วยว่า ความอ่อนน้อมถ่อมตน เจียมเนื้อเจียมตัว ไม่เคยสอนให้หยิ่งยะโส ทะเยอทะยาน ไม่เคยเลยแม้แต่ครั้งเดียว”
ม.ล.ปนัดดา ได้แสดงวิสัยทัศน์ความเป็นพ่อสมัยใหม่ในคราบข้าราชการยุคเก่าว่า ความคาดหวังในตัวลูกไม่เคยได้วางกรอบอะไรไว้มาก เพราะเชื่อตามคำสอนของคุณพ่อมาตลอด คือสมัยนี้บังคับกันไม่ได้แล้ว สมัยก่อนยังบังคับกันได้ ให้ทำโน่นทำนี่ อยากให้รับราชการ อยากให้เป็นพลเรือน ตำรวจ ทหาร สมัยนี้ไม่ได้ ให้ตามใจเขา ท่านพูดประโยคว่า “ทำอะไรก็ทำ ขอให้เป็นคนดีของบ้านเมืองก็พอ”
นอกเหนือจากความเป็นพ่อแล้ว หม่อมเหลนยังมีอีกบทบาทที่น่าภาคภูมิใจ คือการเป็น “ครู” ซึ่งถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้ารับราชการในกองทัพบก ด้วยตำแหน่ง อาจารย์ สังกัดส่วนการศึกษา กองวิชากฎหมายและสังคมศาสตร์ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า สอนนักเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า
ม.ล.ปนัดดา เล่าถึงบทบาทความเป็นครูด้วยความภาคภูมิใจว่า ได้บรรจุเข้าปีเดียวกับที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเป็นองค์ทูลกระหม่อมเจ้าฟ้าอาจารย์ของโรงเรียน จปร. ซึ่งตนเองนั้นอยู่กองวิชาเดียวกับพระองค์ท่าน โดยรับผิดชอบสาขาวิชารัฐศาสตร์กับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และนักเรียนรุ่นที่ได้สอนนั้นตอนนี้เป็นนายทหารใหญ่โตกันแล้ว จะเป็นนายพลกันหมดแล้ว อยู่ในระดับพันเอกพิเศษกันมากก็มีความรู้สึกดีใจที่เขาใหญ่โตถึงขั้นนี้
“คำสอนที่อยากจะให้แก่ลูกศิษย์ คือสิ่งที่คอยพูดอยู่เสมอว่าการรับราชการไม่ว่าจะพลเรือนหรือทหาร คือข้าราชการของประชาชน ของแผ่นดิน มีหน้าที่ที่จะต้องดำรงรักษาไว้ซึ่งเกียรติยศศักดิ์ศรีของบ้านเมือง และยึดมั่นความจงรักษ์ภักดีเหนือสิ่งอื่นใด และอยากจะฝากดูแลบ้านเมือง ประชาชน ขอให้บ้านเมืองมีความร่มเย็นเป็นสุข”


