ยุติธรรมลำเค็ญ 'บ้านกรุณา' ยุควิกฤต
ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนบ้านกรุณา หมู่ 14 ต.บางปลา อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ หรือ “บ้านกรุณา”
โดย...อินทรชัย พาณิชกุล
ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนบ้านกรุณา หมู่ 14 ต.บางปลา อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ หรือ “บ้านกรุณา” ถือเป็นศูนย์ฝึกอบรมที่รองรับเยาวชนผู้กระทำความผิดไว้มากที่สุดในบรรดาศูนย์ฝึกที่มีอยู่ทั้งหมด 18 แห่งทั่วประเทศ ภายใต้การกำกับดูแลของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กระทรวงยุติธรรม วันนี้กำลังประสบปัญหาอย่างหนัก เนื่องจากขาดแคลนบุคลากร อุปกรณ์การเรียน สนามกีฬา
เมื่อสิทธิขั้นพื้นฐานแหว่งเว้า คุณภาพชีวิตของเยาวชนบ้านกรุณาก็ย่ำแย่ กระทบประสิทธิภาพในการ “คืนเด็กดีสู่สังคม”
ยุคตกต่ำ ‘กรมพินิจ’
นโยบายควบคุมตำแหน่งข้าราชการพลเรือน เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายภาครัฐ เมื่อปี 2543 ส่งผลให้หลายหน่วยงานขาดแคลนบุคลากร
“เป็นปัญหาเรื้อรังมานานกว่าสิบปีแล้ว ไม่ใช่เฉพาะบ้านกรุณาที่เดียวเท่านั้น แต่สถานพินิจทุกจังหวัด และศูนย์ฝึกอบรมอีก 17 แห่งทั่วประเทศ ได้รับผลกระทบเหมือนกันหมด มีการทำเรื่องขออัตรากำลังไปทุกปี แต่ไม่เคยได้เลยแม้แต่คนเดียว” เป็นคำบอกเล่าของ ชลลดา พรหมเดชไพบูลย์ ผู้พิพากษาสมทบศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดปทุมธานี ในฐานะประธานมูลนิธิชลลดา ที่ทำงานรณรงค์ช่วยเหลือเด็กและเยาวชนผู้กระทำผิดให้คืนสู่สังคมมาอย่างต่อเนื่อง
“เยาวชนทุกคนจะได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานเหมือนอยู่บ้าน เล่นกีฬา ดูโทรทัศน์ อ่านหนังสือ ติดต่อสื่อสารกับครอบครัวได้ และได้รับการศึกษาเหมือนอยู่ในโรงเรียน ภายใต้กฎระเบียบอันเคร่งครัด และการดูแลอย่างใกล้ชิดจากนักสังคมสงเคราะห์ นักจิตวิทยา แพทย์ ครู ปฏิบัติกับเด็กๆ ไม่ต่างอะไรจากพ่อแม่ญาติพี่น้อง”
ปัญหาจึงไม่ได้อยู่ตรงที่ “การบริหารจัดการ” หากอยู่ที่ “อัตรากำลังคน” เนื่องจาก “บ้านกรุณา” เป็นสถานที่แรกรับเด็กที่มาจากศาลเด็กและเยาวชนกลาง (กรุงเทพมหานคร) รวมถึงศาลเด็กและเยาวชนอีก 5 จังหวัด ได้แก่ จ.นนทบุรี ปทุมธานี ฉะเชิงเทราสมุทรปราการ นครนายก หรือที่เรียกกันว่า “เขต 10” ต้องมารวมกันอยู่ที่บ้านกรุณาที่เดียว และต้องดูแลไปจนกว่าเขต 10 จะได้รับงบประมาณก่อสร้างและจัดสรรเจ้าหน้าที่ กว่าจะเริ่มดำเนินการก็คงปี 2558
ชะตากรรมวันนี้ของ ‘บ้านกรุณา’
ยอดเด็กและเยาวชนภายในบ้านกรุณา ณ วันที่ 28 ส.ค.ที่ผ่านมา มีจำนวนทั้งสิ้น 621 คน แต่มีบุคลากรปฏิบัติหน้าที่เพียง 92 คน
“92 คนนี้ ประกอบด้วยข้าราชการเพียง 33 คน นอกนั้นเป็นพนักงานข้าราชการลูกจ้างชั่วคราว ทุกคนต้องทำมากกว่าหนึ่งหน้าที่ ทั้งงานเอกสาร งานอบรม ดูแลเด็ก ประสานผู้ปกครอง เฝ้าจุดรักษาการณ์ ไม่เคยเลิกงานตรงเวลา หลายครั้งยังต้องทำงานในวันหยุดอีก” ศักดิ์ชัย ค้ำชู ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนชายบ้านกรุณา บอก
“การแก้ปัญหาที่ถูกต้องคือ เราจะต้องมีบุคลากรที่สอดคล้องกับปริมาณของเด็ก เนื่องจากแผนบำบัดฟื้นฟูเด็กต้องดูแลอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง”
จารุณี แซ่ตั้ง นักจิตวิทยาประจำบ้านกรุณา ยอมรับว่า โปรแกรมบำบัด แก้ไข และฟื้นฟูเด็กและเยาวชนที่กระทำผิดไม่อาจดำเนินการได้อย่างมีสิทธิภาพเต็มร้อย
“ยกตัวอย่างขั้นแรกรับ กฎหมายกำหนดไว้ว่าเด็กจะต้องผ่านการจำแนก เพื่อจัดกิจกรรมบำบัดฟื้นฟูที่ตรงกับตัวเด็ก แต่ปัญหาคือมีนักจิตวิทยาแค่ 3 คน ต้องให้คำปรึกษาเด็กกว่า 600 คน ไม่รวมถึงเด็กพิเศษที่ต้องดูแลเป็นการเฉพาะ เช่น ติดยาเสพติด มีปัญหาทางจิต ก้าวร้าวรุนแรง ถูกกลั่นแกล้ง การจำแนกเด็กแรกเข้า ซึ่งมีขั้นตอนมากมาย เช่น การทดสอบทางจิตวิทยา ต้องคุยกับเด็กเป็นรายตัว เดือนหนึ่งเด็กเข้ามาไม่ต่ำกว่า 100 ราย การวิเคราะห์เชิงลึกจึงทำได้ไม่เต็มที่”
ตำแหน่งสำคัญที่สุดของศูนย์ฝึกอบรม หนีไม่พ้น “พ่อบ้าน” ผู้ทำหน้าที่ไม่ต่างจากพ่อแม่ซึ่งดูแลใกล้ชิด รู้จักนิสัยใจคอ และคอยให้คำปรึกษา แต่เป็นตำแหน่งที่ขาดแคลนมากที่สุด
“บ้านกรุณามี 6 หอนอน หอละประมาณ 120 คน มีพ่อบ้านประจำหอละ 2 คน เด็กจะทำผิดกฎระเบียบ ก่อเหตุทะเลาะวิวาท จลาจล หรือหลบหนี พ่อบ้านต้องคอยสังเกตเฝ้าระวัง ปัจจุบันตำแหน่งไม่พอ ต้องขอให้พนักงานพินิจซึ่งมีหน้าที่เฝ้าเวรยามให้มาทำด้วยอีกแรง” ประพัฒน์ สุขทรงศิลป์ ผู้ทำหน้าที่พ่อบ้านมากว่า 5 ปี กล่าว
คืนความสุขให้น้องๆ
ยามบ่ายอันร้อนอบอ้าว ลมพัดเอื่อยเฉื่อย เด็กชายในชุดเสื้อคอกลมสีขาวกางเกงสีดำยูนิฟอร์มของบ้านกรุณา นั่งจับกลุ่มพูดคุยกระจัดกระจายอยู่ใต้ร่มไม้และม้านั่ง
ไม่ใช่การนั่งทอดอารมณ์พักผ่อน เหตุผลน่าสลดใจคือ การเรียนหยุดชะงัก เนื่องจากขาดแคลนครู จะเล่นกีฬาก็เล่นไม่ได้ เพราะพื้นที่สนามมีไม่เพียงพอต่อจำนวนคน
“ที่นี่เปิดสอนวิชาชีพทั้งหมด 11 วิชา อาทิ ช่างตัดเย็บ ศิลปหัตถกรรม ไฟฟ้า ดนตรีไทย ดนตรีสากล พลศึกษา ช่างยนต์ ช่างเชื่อม เกษตร คอมพิวเตอร์ และวิชาสามัญ แต่มีครูแค่วิชาละ 1 คน บางวันครูลากิจติดธุระหรือป่วย เด็กก็ ‘ลอย’ ไม่มีอะไรทำ อุปกรณ์การเรียนการสอนไม่เพียงพอ ต้องใช้เวลาให้เด็กทำทีละคน ทำเสร็จก็ถอดออก เด็กอีกคนก็ประกอบใหม่” ผู้อำนวยการศักดิ์ชัย เล่าให้ฟังถึงสถานการณ์ล่าสุด
เบิ้ม วัย 14 ปี เด็กชายบ้านกรุณา เปิดเผยว่า ตัวเองเลือกเรียนวิชาช่างไม้ แต่ด้วยความที่หน่วยมีเด็ก 100 คนต่อครู 1 คน การเรียนจึงเป็นไปอย่างติดๆ ขัดๆ
“แค่เช็กชื่อก็กินเวลาครึ่งชั่วโมงแล้ว ที่สำคัญคืออุปกรณ์ไม่พอ งานปูนทำเสร็จต้องรอให้แห้ง ครูตรวจเสร็จก็ให้ละลายน้ำแกะออก เด็กอีกคนมาทำต่อ กว่าจะครบทุกคนก็ 3 วัน ยังไม่ทันรู้เรื่องก็จบคอร์สแล้ว”
สนามกีฬาก็เป็นอีกปัญหาใหญ่ของบ้านกรุณา เด็กกว่า 600 ชีวิต แต่มีสนามฟุตบอลและสนามฟุตซอลแค่อย่างละสนาม เช่นเดียวกับตะกร้อและแบดมินตัน
มอส วัย 14 บอกว่า ฟุตซอลเล่นได้ทีมละ 5 คน ยิงลูกเดียวออก สมมติว่าผมอยู่ทีมที่ 20 ถามว่าวันนี้จะได้เล่นไหม
กานต์ วัย 14 เล่าว่า เครื่องดนตรีสากลมีเพียงชุดเดียว จะอ่านหนังสือ ห้องสมุดก็แสนจะคับแคบ ไม่มีอะไรทำก็หลับ การที่ไม่มีกิจกรรมสันทนาการทำให้เด็กๆ มั่วสุมกัน อาจก่อเหตุทะเลาะวิวาทหรือหาทางหลบหนีก็ได้
เด็กๆ ทั้งสามคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่ว่าจะดุหรือใจดีไม่สำคัญ ขอใครก็ได้ให้มีครูสอนเป็นพอ เพราะพวกเขาอยากเรียน อยากเล่นกีฬา เหมือนกับวัยรุ่นปกติทั่วไป
ปัญหาของศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนชายบ้านกรุณา สะท้อนถึงวิกฤตครั้งใหญ่ หากยังไม่แก้ไข ความหวังที่อยากจะเปลี่ยนแปลง “เยาวชนผู้หลงผิด” ให้กลายเป็น “เด็กดี” คืนสู่สังคม ก็คงไม่มีวันเกิดขึ้นจริง


