posttoday

เลิกกฏอัยการศึกสร้าง"บิ๊กตู่"สู่เวทีโลก

05 กันยายน 2557

การปลดล็อกกฎอัยการศึกครั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ มองการณ์ไกลว่าจะสามารถคลายแรงกดดันระหว่างประเทศต่อรัฐบาลใหม่ได้

โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

การที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ตัดสินใจเตรียมยกเลิกประกาศกฎอัยการศึกในบางพื้นที่ที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวและศูนย์กลางเศรษฐกิจนั้น เพื่อคลายแรงกดดันจากนานาประเทศ และจากกลุ่มการเมืองภายในซึ่งจะมีมากขึ้นตามลำดับหลังมีการจัดตั้งรัฐบาล

ทั้งนี้ ปมกดดันจากต่างประเทศนั้นมีมาตลอดนับตั้งแต่เกิดรัฐประหาร โดยเฉพาะประเทศมหาอำนาจอย่าง สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และองค์การสหประชาชาติ(ยูเอ็น) ต่างออกแถลงการณ์ประณามกดดันประเทศไทยอย่างหนักมาโดยตลอดให้ปลดล็อกกฎอัยการศึก เพราะในทางการเมืองระหว่างประเทศไม่อาจยอมรับได้ที่คณะปฏิวัติรัฐประหารใช้กฎอัยการศึกยึดอำนาจการบริหารประเทศ ปิดกั้นสิทธิเสรีภาพทางการเมืองพลเมือง

ยิ่งโดยเฉพาะประเด็นการใช้ศาลเดียวในการพิจารณาคดี นั่นคือ ศาลทหาร พิจารณาตัดสินลงโทษนักโทษทางการเมือง หรือประชาชนและสื่อมวลชนที่ต้องการแสดงออกทางความคิดเห็นที่ไม่ใช่เฉพาะความคิดเห็นทางการเมืองเท่านั้น แต่ต้องการแสดงความคิดเห็นด้านอื่นๆ ทาง คสช.ก็ไม่อนุญาตให้ทำได้ แม้การเคลื่อนไหวเหล่านั้นจะไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง เช่น กลุ่มขาหุ้นพลังงาน ที่ออกมาเรียกร้องให้มีการปฏิรูปด้านพลังงานไทย กลับถูกจับคุมขังในค่ายทหาร ปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นนับตั้งแต่มีการปฏิวัติรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พ.ค.เป็นต้นมา ก็ยิ่งตกเป็นเป้าโจมตีจากต่างประเทศ

แม้ประชาชนภายในประเทศไม่ลุกฮือขึ้นต้านและยอมรับการใช้อำนาจพิเศษของคสช. ในการนำกฎอัยการศึกมาใช้บริหารประเทศ แต่ก็เป็นเพราะเห็นผลดีว่ากฎอัยการศึกสามารถทำให้สถานการณ์ความขัดแย้งรุนแรงทางการเมืองยุติลงได้ ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินกลับคืนมา ทั้งยังสามารถนำกฎหมายดังกล่าวมาใช้จัดระเบียบสังคม และแก้ไขปัญหาที่ยากและสั่งสมมายาวนานได้อย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี มีอำนาจเต็มบริหารประเทศ ตามธรรมเนียมปฏิบัติย่อมต้องเดินทางไปเยือนต่างประเทศ หรือต้องไปปรากฏตัวบนเวทีการประชุมระดับสากล หรือรัฐบาลไทยต้องเป็นเจ้าภาพการจัดงานประชุมสำคัญๆ ทั้งระดับภูมิภาคและสากล ซึ่งจำเป็นต้องเชิญผู้นำต่างประเทศมาเยือนไทย ย่อมเกิดภาพลักษณ์ไม่เหมาะสมอย่างแน่นอนหากประเทศไทยยังคงประกาศใช้กฎอัยการศึกอยู่

ขณะเดียวกันยิ่งมีระดับนายพลทหารเป็น รมว.ต่างประเทศ คือ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.)เป็นรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ต่างประเทศ ย่อมต้องสร้างความมั่นใจและการยอมรับในระดับสากล ดังนั้นการมีกฎหมายที่ฝืนความรู้สึกนานาประเทศย่อมไม่ส่งผลดีด้านภาพลักษณ์ต่อการปฏิบัติหน้าที่ของผู้นำประเทศ

นอกจากนี้ เมื่อมีคณะรัฐมนตรี (ครม.) สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ล้วนเป็นหนึ่งในกระบวนการและกลไกทางการเมืองตามขั้นตอนที่ พล.อ.ประยุทธ์ได้วางไว้ตามโรดแมป 3 ขั้นในการคืนประชาธิปไตยสู่ประเทศ ย่อมไม่มีเหตุผลหรือข้ออ้างที่ พล.อ.ประยุทธ์จะยังต้องฝืนใช้กฎอัยการศึกอีกต่อไป เพราะกระบวนการทางการเมืองดังกล่าวต้องการการมีส่วนร่วมทางการเมืองจากทุกภาคส่วนในสังคม ดังนั้นการสร้างบรรยากาศความไว้เนื้อเชื่อใจให้ทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วม ทาง คสช.จึงปลดล็อกกฎเหล็กดังกล่าวลง

ทางกลับกัน หาก พล.อ.ประยุทธ์ ขืนยังลากใช้กฎอัยการศึกต่อไป ย่อมจะถูกมองได้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ ใช้อำนาจเกินขอบเขตและยิ่งถูกต่อต้าน ซึ่งอาจทำให้รัฐบาลเสื่อมในระยะเวลาอันรวดเร็ว

ทั้งนี้ อย่าลืมว่าในต่างประเทศบางประเทศโดยเฉพาะประเทศคู่ค้าสำคัญของไทยมีกฎหมายภายในเกี่ยวกับการประกาศเตือนภัยพลเรือนตัวเอง ห้ามเดินทางเยือนประเทศที่มีการประกาศกฎอัยการศึก หรือประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน หากการประกาศเลิกกฎอัยการศึกย่อมส่งผลดีทำให้ประเทศเหล่านั้นประกาศยกเลิกคำเตือนพลเรือนตัวเอง และอนุญาตให้สามารถเดินทางมาเยือนประเทศไทยได้สะดวกขึ้น ย่อมส่งผลดีต่อการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจโดยรวม จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ภาคธุรกิจออกมาเชียร์ให้ พล.อ.ประยุทธ์เลิกกฎอัยการศึกในทันที

ในขณะที่เมื่อบรรยากาศความสงบเรียบร้อยและการบังคับใช้ภายในประเทศดีขึ้นเป็นลำดับ และประเทศมี ครม.เข้ามาบริหารประเทศ ถือเป็นการเข้าสู่โหมดการเมืองเต็มรูปแบบ การบังคับใช้กฎหมายต่างๆ ย่อมต้องใช้อำนาจตามที่กฎหมายกำหนดนั้นคือ พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร ซึ่งเป็นอำนาจที่ออกโดยนายกรัฐมนตรีและ ครม.

แต่หากเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบเรียบร้อยเกิดขึ้นจริง พล.อ.ประยุทธ์ มั่นใจว่าเอาอยู่ เพราะอย่าลืมว่าขณะนี้ในการบริหารประเทศ พล.อ.ประยุทธ์ได้แบ่งงานการดูแลด้านความมั่นคงให้กับ คสช.ที่มีผู้นำเหล่าทัพกับกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) เป็นหน่วยงานหลักที่มีศักยภาพด้านสรรพกำลังพลและอาวุธยุทโธปกรณ์ จึงมั่นใจว่าจะสามารถคุมสถานการณ์ได้ แม้จะไม่ถือกฎอัยการศึกไว้ในมือก็ตาม

ดังนั้น ในการปลดล็อกกฎอัยการศึกครั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ มองการณ์ไกลว่าจะสามารถคลายแรงกดดันระหว่างประเทศต่อรัฐบาลใหม่ได้ โดยเฉพาะประเด็นที่เป็นกระแสโจมตีจากต่างประเทศ กล่าวหาว่ากฎอัยการศึกถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองละเมิดสิทธิมนุษยชน และทำลายสิทธิเสรีภาพทางการเมืองของฝ่ายตรงข้าม ดังนั้นการสร้างการยอมรับรัฐบาลใหม่ของ พล.อ.ประยุทธ์ ในระดับสากลย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องยอมปลดล็อกกฎอัยการศึก เพื่อจะทำให้นานาชาติได้ให้ความเชื่อมั่นว่าประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่เส้นทางปฏิรูปคืนประชาธิปไตยที่แท้จริงแก่ประชาชนในอนาคตอันใกล้นี้

ข่าวล่าสุด

ผู้ว่า ธปท. ห่วงบาทแข็งเร็ว สั่งตรวจเข้มทำธุรกรรมซื้อขายดอลลาร์