คุณอยากจะเป็น "หนูถีบจักร" อีกต่อไปหรือ?
โดย...ดร.วีรพงษ์ ชุติภัทร์
โดย...ดร.วีรพงษ์ ชุติภัทร์
ในประเทศไทยเคยมีการสำรวจข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์เงินเดือน (http://parttimeofhouse.blogspot.com/2013/06/blogpost_28.html) โดยการใช้คำถามถามคนทั่วไปที่ทำงานรับเงินเดือน ดังนี้ครับ
คำถาม “คุณมีความสุขกับงานที่คุณทำอยู่หรือเปล่า?” ซึ่งพบว่า 62% ของผู้ตอบแบบสอบถามตอบว่า พวกเขาซึ่งล้วนแต่เป็นมนุษย์เงินเดือนไม่มีความสุขในที่ทำงานเลย โดยมีเหตุผลที่มีผู้ตอบมากที่สุดลำดับต้นๆ ดังนี้คือ
1.ได้รับเงินเดือนน้อย
2.ทำงานไม่ตรงตามความถนัด
3.มีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับหัวหน้า
คำถามถัดมาคือ “ปัจจัยที่มีน้ำหนักมากที่สุด...ที่ทำให้คุณไม่มีความสุขคืออะไร?” ซึ่งได้คำตอบว่า การทำงานเกินหน้าที่และการมีเงินเดือนไม่พอใช้จ่าย เป็นสองคำตอบแรกที่มีน้ำหนักมากที่สุด
และมาถึงอีกคำถามหนึ่งที่ว่า “เมื่อไม่มีความสุขแล้ว...คุณทำอย่างไร?” ซึ่งคำตอบที่มีมนุษย์เงินเดือนตอบมากที่สุด 2 อันดับแรก คือ
ต้องการที่จะเปลี่ยนงานใหม่...ซึ่งมีคนตอบข้อนี้สูงที่สุดถึง 58%
หาความสุขทางอื่น...ซึ่งมีมนุษย์เงินเดือนตอบข้อนี้ถึง 37%
ในการสำรวจดังกล่าว ได้สรุปคำตอบสำหรับคำถามที่ว่า “ทำยังไง...เราจะมีความสุขกับการทำงาน” ซึ่งมีการเสนอแนะเป็นคำตอบไว้ 3 ข้อด้วยกันคือ
หนึ่ง มองความถนัดมากกว่าเงิน
สอง ปรับความเข้าใจกับเพื่อนร่วมงานที่มีปัญหา
สาม แบ่งเงินไปซื้อความสุขบ้าง
ข้อสรุปง่ายๆ ของการสำรวจครั้งนี้ก็คือ “คนทำงานส่วนใหญ่ไม่พอใจกับงานที่ตัวเองทำอยู่มากกว่าครึ่งหนึ่ง ต้องการเปลี่ยนงานใหม่ และอยากได้งานใหม่ที่ตนเองถนัดหรือชอบ”
คุณผู้อ่านเคยคิดไหมครับว่า ชีวิตของพวกเราส่วนใหญ่เกิดมาในระบบที่เรียกกันว่า “วัฏจักรของมนุษย์เงินเดือน” ผมเองคิดว่า
ระบบดังกล่าวได้ทำให้พวกเราส่วนใหญ่ของประเทศตกลงไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่น่าเบื่อหน่าย ทนทุกข์ทรมาน และสิ้นหวัง
เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายว่าระบบดังกล่าวเป็นอย่างไร ผมจึงอยากจะขอยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่มักจะเกิดขึ้นกับหลายๆ คนมาประกอบ ดังนี้ครับ
วัยเด็ก หากพอจำกันได้ ในช่วงวัยเด็กเวลาที่คุณพ่อคุณแม่ไปไหว้พระ ก็มักจะขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ลูก “เรียนหนังสือ...เก่งๆ จบแล้วจะได้ทำงานดีๆ” อาจกล่าวได้ว่าคำขอดังกล่าวได้ทำให้เด็กๆ มีความเชื่อว่า ...จะต้องเรียนหนังสือเก่งๆ ...จะต้องหางานทำดีๆ ...และจะได้มาซึ่งชีวิตที่ดีๆ
ดังนั้นคำว่า “ชีวิตที่ดีๆ” ในที่นี้่ก็จะหมายถึงการได้เป็นพนักงานประจำ ได้ทำงานในตำแหน่งสูงๆ มีเงินเดือนเยอะๆ แต่ต้องเริ่มต้นเป็นพนักงานประจำในตำแหน่งเล็กๆ มีเงินเดือนน้อยๆ เสียก่อน โดยยังไม่แน่ใจว่า “ชีวิตที่ดีๆ” มันจะมาถึงเมื่อไร
วัยเรียน ทุกคนเรียนหนังสือกัน...อย่างบ้าระห่ำ บางคนก็เรียนเก่ง ขณะที่หลายๆ คนเรียนไม่เก่งเลย ที่โรงเรียนจะสอนให้หลายๆ คนต้องร่ำเรียนวิชามากมาย โดยทุกโรงเรียนพยายามที่จะสอนวิชาต่างๆ นานา เพื่อให้สามารถเข้าคณะดีๆ มหาวิทยาลัยดีๆ ได้
เริ่มต้นทำงาน น่าจะเป็นภาพสะท้อนที่ทำให้เห็นภาพ “ชีวิตของ...หนูถีบจักร” ได้ดีที่สุด ภาพชีวิตที่หลายๆ คนคิดว่าตนเองโชคดีที่สุดในโลกที่หางานทำได้ ชีวิตเริ่มต้นจากต้องตื่นแต่เช้าออกไปผจญกับสภาพการจราจรที่ติดขัดอย่างแสนสาหัส จากนั้นก็ต้องไปผจญกับสภาพแวดล้อมในที่ทำงาน บางคนที่ได้ที่ทำงานดี มีเจ้านายดี เพื่อนร่วมงานดี ผลตอบแทนดี ก็ถือว่าโชคดี แต่ในชีวิตจริงมักจะมีจำนวนคนที่โชคร้ายมากกว่าคนที่โชคดีหลายเท่าตัว
วันเงินเดือนออก คนที่โชคร้ายเหล่านี้ ยังต้องรับชะตากรรมทางการเงิน เงินเดือนเกือบจะทุกบาทที่ได้มา มักจะมีรายจ่ายต่างๆ จำนวนมากมายมารอไว้อยู่แล้ว เริ่มจากต้องนำมาจ่ายค่าผ่อนบ้าน ค่าผ่อนรถ ค่าบัตรเครดิต และอื่นๆ บางคนที่มีครอบครัวยังต้องจ่ายค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับภรรยาและลูกอีกด้วย
วันเกษียณอายุ เงินที่มีอยู่ทั้งหมด...หลังจากวันเกษียณอายุมักจะไม่เพียงพอกับเวลาที่ยาวนานของการดำเนินชีวิตที่เหลืออยู่หลังเกษียณ
แต่ก็ยังมีหลายคนที่คิดว่า “ยังไงก็คงมีลูกหลานมาเลี้ยงดูตัวฉันแน่ๆ” แต่ชีวิตจริงในปัจจุบันนี้ลูกหลานของพวกเราก็ยังต้องหาเลี้ยงดูตัวเองและครอบครัวของเขาตัวเป็นเกลียวอยู่แล้ว คงไม่มีปัญญามาเลี้ยงดูพวกเขาได้หรอก
สาเหตุใหญ่ข้อหนึ่งที่เรามี “คนที่โชคร้าย” ที่มีพฤติกรรมคล้ายๆ กัน ซ้ำๆ กันจำนวนมากมาย เพราะว่าเขาเหล่านี้ไม่ยอมคิดใหม่ หรือไม่ยอมเปลี่ยนวิธีคิดนั่นเอง
ถ้าหากคุณคิดว่า “คุณไม่อยากจะมี...ชะตาชีวิต เหมือนอย่างชีวิตข้างต้นนี้” คุณมีสิทธิที่จะเลือกได้ คุณมีสิทธิที่จะบรรลุถึงอิสรภาพทางการเงินได้ เพื่อที่จะได้ทำหลายสิ่งหลายอย่างที่คุณต้องการทำในชีวิตได้ทำในยามที่คุณต้องการ ได้ทำใน...ที่ที่คุณต้องการ และได้ทำกับคนที่คุณต้องการ ถ้าคุณต้องการที่จะทำเช่นนั้นจริงๆ...คุณก็คงต้องเริ่ม “เปลี่ยนวิธีคิด” เสียแต่วันนี้
วิธีคิดใหม่ๆ...ที่จะทำให้ตัวเองหลุดพ้นจาก “ชีวิตของ...หนูถีบจักร” โดยเร็วที่สุด


