ข้อเท็จจริงท่อก๊าซ ปตท.
จากที่มีการสร้างกระแสความเชื่อว่า ปตท.ยังมิได้คืนท่อตามคำสั่งศาลปกครองสูงสุดนั้น ความจริงคืออะไร?
จากที่มีการสร้างกระแสความเชื่อว่า ปตท.ยังมิได้คืนท่อตามคำสั่งศาลปกครองสูงสุดนั้น ความจริงคืออะไร?
เมื่อมีการค้นพบก๊าซธรรมชาติเชิงพาณิชย์ครั้งแรกในประเทศไทยที่แหล่งเอราวัณ โดยบริษัท ยูเนียนออยล์ฯ ในปี 2516 นั้นผู้ผลิตไม่พร้อมที่จะลงทุนวางท่อ เนื่องจากต้องลงทุนสูงและเสี่ยงมาก เพราะคาดว่าจะผลิตได้เพียง 250 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน ซึ่งต่ำกว่าปริมาณที่จะคุ้มค่าในการลงทุนสร้างท่อ คือ 500-800 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน หลังจากธนาคารโลกเข้ามาร่วมศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ รัฐบาลเกรียงศักดิ์ได้ตัดสินใจสร้างท่อส่งปิโตรเลียมในทะเลที่ยาวที่สุดในโลกในขณะนั้น
โดยให้การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยลงทุนประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ด้วยเงินกู้จากธนาคารโลกและองค์กรอื่นๆ เป็นท่อขนาด 34 นิ้ว ยาว 415 กม. จากแหล่งเอราวัณในอ่าวไทยมาขึ้นบกที่ระยองแล้ววางท่อบนบก 165 กม.ต่อไปถึงโรงไฟฟ้าบางปะกงและโรงไฟฟ้าพระนครใต้ ซึ่งเส้นทางบนบกนี้ส่วนใหญ่วางตามแนวถนนของกรมทางหลวงและใต้พื้นที่สายส่งของ กฟผ. แต่มีบางส่วนที่ต้องผ่านที่ดินเอกชน ซึ่งใช้อำนาจรัฐตาม พ.ร.บ.ปตท. 2521 รอนสิทธิและเวนคืนในกรณีที่จำเป็นโดยจ่ายเงินค่าทดแทนตามที่ตกลงกัน
ทั้งนี้ การวางท่อในทะเลไม่มีการใช้อำนาจรอนสิทธิเหนือพื้นที่เอกชนและทะเลส่วนที่เกินอาณาเขต 12 ไมล์ทะเลก็ไม่ใช่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน
เมื่อมีการค้นพบก๊าซธรรมชาติมากขึ้นทำให้สามารถเพิ่มการผลิตได้จึงได้มีการสร้างท่อเส้นอื่นเพิ่มเติม บางเส้นก็สร้างหลังจากการแปรรูป ปตท.แล้ว เช่นท่อในทะเลจากแหล่ง JDA (พื้นที่พัฒนาร่วมไทยมาเลเซีย) ถึงระยอง ขนาด 42 นิ้ว ความยาวประมาณ 700 กม.
หลังจากวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 รัฐบาลได้จัดทำแผนแม่บทการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจ และเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งลดภาระการลงทุนของภาครัฐ
ในปี 2542 รัฐบาลชวนได้เห็นชอบโครงสร้างกิจการก๊าซธรรมชาติในระยะยาว ซึ่งกำหนดให้มีการแยกกิจการท่อส่งก๊าซออกต่างหากและจัดตั้งเป็นบริษัท ส่งเสริมการแข่งขันในอุตสาหกรรมก๊าซธรรมชาติโดยการเปิดให้บุคคลที่สามสามารถใช้บริการระบบท่อส่งได้ (TPA) และมีองค์กรกำกับดูแลอิสระเพื่อกำหนดราคาที่เป็นธรรม และเพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกันในการใช้บริการ
มีการเห็นชอบ ร่าง พ.ร.บ.การประกอบกิจการพลังงาน ในปี 2543 แต่ถึงรัฐบาลทักษิณได้ระงับการผลักดันร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว ขณะเดียวกันกลับเร่งรัดการแปรรูป ปตท. ส่วนกิจการท่อก๊าซนั้น แทนที่จะให้มีการแยกออกเป็นบริษัทในเครือก่อนการกระจายหุ้น รัฐกำหนดให้ ปตท.จัดตั้งและถือหุ้นทั้งหมดในบริษัท ปตท.ท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ภายใน 1 ปี หลังการนำ ปตท.เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ปี 2544
ต่อมาในช่วงรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จึงได้มีการผลักดัน พ.ร.บ.การประกอบกิจการพลังงานผ่านสภานิติบัญญัติแห่งชาติ มีผลบังคับใช้วันที่ 11 ธ.ค. 2550 โดยมีการจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลกิจการไฟฟ้าและก๊าซธรรมชาติ (กกพ.) ซึ่งรับโอนอำนาจรัฐทั้งหมดตาม พ.ร.บ.การปิโตรเลียมฯ 2521 จาก ปตท.
จากที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคยื่นฟ้องต่อศาลปกครองสูงสุดให้เพิกถอนการแปรรูป ปตท.นั้น ในวันที่ 14 ธ.ค. 2550 ศาลปกครองสูงสุดพิพากษาไม่เพิกถอนการแปรรูป เนื่องจาก พ.ร.บ.การประกอบกิจการพลังงานได้โอนอำนาจรัฐออกมาจาก ปตท.แล้ว แต่ให้ ปตท.แบ่งแยกทรัพย์สินที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินต่อไปนี้คืนแก่รัฐตามคำพิพากษา (ปตท.ยังคงมีสิทธิใช้งานได้โดยจ่ายค่าตอบแทนให้รัฐ)
ที่ดินที่ได้มาจากการเวนคืนโดยใช้อำนาจมหาชนของการปิโตรเลียมฯ และจ่ายค่าทดแทนด้วยเงินของการปิโตรเลียมฯ
ที่ดินของเอกชนที่การปิโตรเลียมฯ ใช้อำนาจมหาชนรอนสิทธิ และจ่ายเงินทดแทนโดยการปิโตรเลียมฯ
ท่อก๊าซธรรมชาติและอุปกรณ์ที่อยู่ใต้ที่ดินดังกล่าวทั้งสองประเภท
รัฐบาลสุรยุทธ์ได้มอบหมายให้กระทรวงการคลังโดยกรมธนารักษ์และกระทรวงมหาดไทยโดยกรมที่ดิน ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเป็นผู้ตรวจสอบรับรองความถูกต้องหากมีข้อโต้แย้งทางด้านกฎหมายให้สำนักงานกฤษฎีกาเป็นผู้พิจารณาเพื่อให้มีข้อยุติ
1) 26 ธ.ค. 2551 ศาลปกครองสูงสุดได้บันทึกในคำร้องรายงานสรุปของ ปตท.ว่า ปตท.ดำเนินการโอนทรัพย์สินทั้งหมดตามคำพิพากษาเรียบร้อยแล้ว
ทั้งนี้ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้มีหนังสือถึงหน่วยงานต่างๆ (20 ก.พ. 2552) แจ้งความเห็นว่า ปตท.ยังคืนท่อไม่ครบตามคำพิพากษา อย่างไรก็ตาม ในท้ายของหนังสือดังกล่าวก็ได้ระบุไว้ว่า “การดำเนินการแบ่งแยกและส่งมอบทรัพย์สินของ ปตท. ให้แก่กระทรวงการคลัง ตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด จะครบถ้วนและเป็นไปตามคำพิพากษาหรือไม่ ขึ้นอยู่กับคำวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดที่จะเป็นผู้พิจารณา ซึ่งคำวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดถือเป็นยุติ”
2) 3 มี.ค. 2552 ศาลปกครองสูงสุดได้ยกคำร้องที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคร้องขอให้ศาลไต่สวนการคืนทรัพย์สินตามคำพิพากษา และได้แนบรายงานการตรวจสอบทรัพย์สินของ สตง.ประกอบคำร้องดังกล่าวด้วย โดยศาลได้พิจารณาและยืนยันว่า “หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการตามคำพิพากษาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”
3) 2 พ.ย. 2555 ศาลปกครองกลางมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคที่ยื่นฟ้องว่า ปตท.คืนท่อตามคำพิพากษาไม่ครบ และขอให้ศาลตัดสินให้ ปตท.คืนท่อในทะเลด้วย โดยศาลมีคำวินิจฉัยว่าศาลปกครองสูงสุดได้เคยมีคำพิพากษาว่า ปตท.ได้ดำเนินการส่งมอบทรัพย์สินครบถ้วนเรียบร้อยแล้ว
จะเห็นได้ว่า ศาลปกครองได้มีการพิจารณาในเรื่องนี้ถึง 3 ครั้งและได้ยืนยันมาโดยตลอดว่า ปตท.ได้ดำเนินการตามคำพิพากษาเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว ผู้เขียนเล่าตามความเป็นจริง มิได้มีเจตนาชี้นำให้ประเทศชาติเสียประโยชน์
นอกจากนี้ ในรายงานประจำปีของ ปตท.ทุกๆ ปี สตง.ก็ตรวจและรับรองงบการเงินของ ปตท.ตามปกติ
อนึ่ง หาก ปตท.จะส่งคืนทรัพย์สินที่นอกเหนือจากคำพิพากษา ถือว่าคณะกรรมการและผู้บริหารกระทำเกินหน้าที่และก่อความเสียหายแก่บริษัท จะเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.บริษัทมหาชน และ พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
อย่างไรก็ตาม ได้มีการอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฟ้องในปี 2555 ก็คงต้องรอดูว่าศาลปกครองสูงสุดจะคงยืนยันว่า ปตท.คืนท่อครบหมดแล้วเป็นครั้งที่ 4 หรือไม่


